Tag Archives: ดินเทพ

เพลี้ย แมลงศัตรูพืช

เพลี้ย แมลงศัตรูพืช

เพลี้ย เป็นแมลงศัตรูพืชขนาดเล็ก ที่มีความหลากหลายทางสายพันธุ์สูงมาก บางชนิดมีปีก บางชนิดกระโดดได้ไกล ส่วนรูปลักษณ์ของแต่ละสายพันธุ์ก็แตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง เพลี้ยเป็นแมลงตัวอ่อนที่มีวงจรชีวิตไม่ยืนยาวนัก แต่สามารถขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว เพลี้ยที่โตเต็มวัยแล้วจะออกลูกได้หลายสิบตัวต่อครั้ง และยังสามารถออกลูกได้ตลอดชีวิตของมันอีกด้วย เมื่อไรที่สภาพแวดล้อมเหมาะสม เพลี้ยจะเริ่มแพร่ระบาดในเรือกสวนไร่นาเป็นวงกว้าง พร้อมสร้างความเสียหายรุนแรงต่อพืชผลทางการเกษตร หากไม่มีการรับมือที่ดีก็จะสูญเสียผลผลิตส่วนใหญ่ไปอย่างน่าเสียดาย การทำความรู้จักกับเพลี้ยแต่ละชนิดที่พบได้บ่อยจึงเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับเกษตรกร จะได้รู้ว่าพืชที่เราเพาะปลูกอยู่นั้นสุ่มเสี่ยงกับเพลี้ยแบบใดบ้าง และควรจะเตรียมการป้องกันอย่างไร

 

เพลี้ยอ่อน

จุดเด่นของเพลี้ยอ่อนคือปากแบบแทงดูดที่สามารถถ่ายทอดเชื้อไวรัสสู่เซลล์พืชได้ ในช่วงที่ยังเป็นตัวอ่อนจะมีขนาดเล็กมาก ลำตัวอ้วนป้อมสีเหลืองอ่อน มีขา 6 คู่ที่มองเห็นได้ชัดเจน แม้ว่าเพลี้ยอ่อนตอนแรกเกิดจะคล้ายคลึงกันหมด แต่ในระยะ 5-6 วันจะผ่านการลอกคราบอีก 4 ครั้ง ทำให้สีลำตัวเปลี่ยนแปลงไปและมีเอกลักษณะเฉพาะสายพันธุ์บางอย่างโดดเด่นขึ้นมา คุณพัชรินทร์ ครุฑเมืองกล่าวไว้ว่า เพลี้ยอ่อนบางชนิดจะมีลำตัวสีเขียว บางชนิดมีลำตัวสีเหลือง และอาจจะมีปีกหรือไม่มีก็ได้ ตัวอย่างของเพลี้ยอ่อนที่สำคัญได้แก่ เพลี้ยอ่อนยาสูบ เพลี้ยอ่อนแตง เพลี้ยอ่อนฝ้าย เป็นต้น

ลักษณะการทำลาย

เพลี้ยอ่อนจะเริ่มสร้างความเสียหายให้พืชตั้งแต่ยังไม่โตเต็มวัย ด้วยการดูดกินน้ำเลี้ยงจากส่วนต่างๆ ของพืช จนทำให้เซลล์พืชเหี่ยวแห้ง ส่วนใบมักจะแสดงอาการให้เห็นก่อน เริ่มตั้งแต่ใบมีรอยด่าง สีใบซีดเหลือง แล้วก็หลุดร่วงไปในท้ายที่สุด หากเพลี้ยอ่อนยังไม่ถูกกำจัดก็จะทำลายต้นพืชมากขึ้นจนถึงขั้นหยุดเจริญเติบโตและตายไป ยิ่งกว่านั้น เพลี้ยอ่อนยังเป็นพาหะแพร่เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคพืชอื่นๆ อีกด้วย

 

 

 

 

เพลี้ยไฟ

ตามปกติเพลี้ยไฟจะมีลำตัวเรียวยาวและมีปีกแคบแนบข้างลำตัว ขนาดตัวยาวไม่เกิน 2 มิลลิเมตร ตัวอ่อนกับตัวที่โตเต็มวัยแล้วมีรูปร่างลักษณะไม่ต่างกันมากนัก นอกจากเฉดสีที่เปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นน้ำตาลปนเหลืองเมื่ออายุมากขึ้น หรืออาจเห็นเป็นสีโทนส้มอมน้ำตาลบ้างในบางสายพันธุ์ เพลี้ยไฟจะออกลูกจำนวนมากในแต่ละครั้งไม่ว่าจะได้รับการผสมพันธุ์หรือไม่ก็ตาม ช่วงที่ต้นพืชแตกยอดอ่อนจะพบการระบาดของเพลี้ยไฟมากเป็นพิเศษ แต่ก็มีข้อดีตรงที่พวกมันชอบอยู่อาศัยรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ ทำให้สังเกตเห็นได้ง่าย คุณศิริณี พูนไชยศรี จากกองกีฏและสัตววิทยา ได้แยกประเภทของเพลี้ยไฟเอาไว้มากกว่า 9 ชนิด ซึ่งตัวอย่างที่เกษตรกรควรทำความรู้จักไว้ก็คือ เพลี้ยไฟพริก เพลี้ยไฟมังคุด เพลี้ยไฟดอกไม้ เป็นต้น

ลักษณะการทำลาย

เพลี้ยไฟจะทำลายต้นพืชในทุกช่วงการเจริญเติบโต เนื่องจากมีการระบาดของเพลี้ยไฟได้ตลอดทั้งปี ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะเจาะดูดน้ำเลี้ยงของพืชไปใช้ จนเห็นบริเวณที่ถูกทำลายเป็นเส้นทางสีขาวในระยะแรก ต่อมาจึงเริ่มเหี่ยวแห้งกลายเป็นสีน้ำตาลไหม้ ถ้าเป็นส่วนยอดอ่อนก็จะเกิดการบิดงอ ขั้วผลกลายเป็นสีเทาเงิน ในหน้าแล้งจะรุนแรงจนผลหลุดร่วงได้ง่าย กรณีที่เพลี้ยไฟระบาดอย่างรุนแรงจะทำส่งผลให้พืชแคระแกร็นและหยุดการเจริญเติบโต

 

 

 

 

เพลี้ยแป้ง

เพลี้ยแป้งมีลักษณะอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างโดดเด่น คือมีผงแป้งปกคลุมอยู่ทั่วลำตัวไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ไหนก็ตาม รูปร่างของเพลี้ยแป้งค่อนข้างอ้วนกลม มีขนาดประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ตัวเมียไม่มีปีกและต้องลอกคราบ 3 ครั้งก่อนวางไข่ ขณะที่ตัวผู้จะมีปีก ลำตัวเล็กกว่า และลอกคราบทั้งหมด 4 ครั้ง สำนักงานเกษตรจังหวัดตราดได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ความน่ากลัวของเพลี้ยแป้งคือมีมดเป็นพาหะ ช่วยให้เกิดการแพร่กระจายในวงกว้างได้เร็วขึ้น ทั้งยังช่วยให้เพลี้ยมีชีวิตรอดอยู่ใต้ดินในช่วงที่สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสมด้วย

ลักษณะการทำลาย

เพลี้ยแป้งทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะดูดน้ำเลี้ยงจากต้นพืช โดยเน้นที่ส่วนของผล ตา ดอก และใบมากเป็นพิเศษ ตัวอ่อนจะแฝงตัวอยู่ในช่อดอกหรือยอดอ่อนทำให้มองเห็นได้ยาก ระหว่างนั้นก็จะขับถ่ายของเหลวที่ดึงดูดราดำไปพร้อมกัน สัญญาณที่บอกว่าต้นพืชกำลังได้รับความเสียหายจากเพลี้ยแป้ง คือผงสีขาวที่กระจุกตัวอยู่บนต้นพืช และมีมดคอยลำเลียงผงเหล่านั้นไปตามจุดต่างๆ นอกจากต้นพืชจะเหลืองซีดและหยุดการเติบโตแล้ว ผลผลิตที่ได้ยังมีคุณภาพต่ำลงด้วย

 

 

 

 

 

  1. เพลี้ยแป้งลาย

เพลี้ยแป้งลายมีรูปร่างคล้ายลิ่ม ผิวด้านนอกมีสีเทาอ่อน ผงแป้งที่ปกคลุมมีความมันเงาเล็กน้อย พบการระบาดในมันสำปะหลังมากที่สุด รองลงมาเป็นไม้ผลและไม้ดอกทั่วไป เพลี้ยชนิดนี้จะขยายพันธุ์ได้เร็วในฤดูฝน แต่ก็มักจะถูกกำจัดโดยตัวห้ำซึ่งเป็นเพลี้ยอีกสายพันธุ์หนึ่ง จึงไม่ค่อยสร้างความเสียหายให้เกษตรกรมากมายนัก

  1. เพลี้ยแป้งแจ๊คเบียดเลย์

ลำตัวของเพลี้ยแป้งแจ๊คเบียดเลย์เป็นรูปทรงไข่ที่ค่อนข้างแบน และมีสีเทาอมชมพู นอกจากผงแป้งที่ปกคลุมอยู่ด้านบนแล้วก็ยังมีเส้นแป้งแนบข้างลำตัวด้วย ส่วนใหญ่พบการระบาดในไร่มันสำปะหลัง โดยจะกระจุกตัวอยู่ตามบริเวณโคนต้นเป็นหลัก

  1. เพลี้ยแป้งสีเขียว

ลักษณะของเพลี้ยแป้งสีเขียวนั้นคล้ายกับพันธุ์แจ๊คเบียดเลย์ เพียงแค่มีลำตัวเป็นสีเขียวอมเหลืองเท่านั้นเอง ปกติจะพบได้ในพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลัง และมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัวในช่วงฤดูฝน เพลี้ยชนิดนี้มีช่วงอายุที่แปรผันตามอุณหภูมิด้วย ยิ่งอากาศเย็นมากเท่าไรก็ยิ่งช่วยให้เพลี้ยมีอายุยืนยาวมากขึ้นเท่านั้น

  1. เพลี้ยแป้งสีชมพู

ดร.อุดมศักดิ์ เลิศสุชาตวนิช แห่งคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า สำหรับเกษตรกรที่ปลูกมันสำปะหลัง นี่ถือเป็นเพลี้ยที่สร้างความเสียหายได้มากที่สุด เพลี้ยแป้งสีชมพูมีลำตัวเป็นทรงไข่ ผิวนอกเป็นสีชมพูที่ปกคลุมด้วยแป้งสีขาว นอกจากจะขยายพันธุ์ได้รวดเร็วแล้ว ก็ยังควบคุมป้องกันได้ยาก แต่ก็มีข้อดีตรงที่เราจะไม่เห็นการระบาดของเพลี้ยชนิดนี้ในฤดูฝนเลย

เพลี้ยจักจั่น

เพลี้ยจักจั่นที่โตเต็มวัยจะมีขนาดลำตัวยาวประมาณ 5.5-6.5 มิลลิเมตร ส่วนหัวมีความกว้างป้านแล้วเรียวเล็กลงไปทางปลายหาง มีขาหลังค่อนข้างยาวและแข็งแรงจึงกระโดดได้ไกล ทุกครั้งที่กระโดดจะมีแรงดีดที่ทำให้เกิดเสียง พืชต้นไหนที่มีเพลี้ยจักจั่นมาก เมื่อมันถูกรบกวนจนต้องกระโดดไปมา เราก็จะได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของเพลี้ยจักจั่นคือแต้มจุดบนลำตัว หลังผ่านการลอกคราบครบ 4 ครั้ง ลวดลายบนตัวก็ยิ่งเด่นชัดมากขึ้น

ลักษณะการทำลาย

นักวิชาการของกองกีฏและสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่าบริเวณโคนก้านจะถูกเพลี้ยจักจั่นดูดกินน้ำเลี้ยงเป็นอันดับแรก เราจึงเห็นความผิดปกติที่ส่วนใบได้ในทันที โดยใบอ่อนจะบิดงอ ขอบใบแห้งกรอบ พืชบางชนิดมีสีใบที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น โรคใบขาวในต้นอ้อย เป็นต้น ถ้าบังเอิญอยู่ในช่วงออกดอกก็จะทำให้ดอกเหี่ยวแห้ง ติดผลน้อย หลังจากต้นพืชเข้าสู่ช่วงออกผลแล้ว เพลี้ยจักจั่นจะลดน้อยลงเองตามธรรมชาติ แต่จะทิ้งสารที่ก่อให้เกิดราดำเอาไว้ สร้างผลเสียให้ผลผลิตต่อเนื่องไปอีก

 

 

 

 

 

  1. เพลี้ยจักจั่นสีเขียว

สำนักวิจัยและพัฒนาข้าวกล่าวว่า เพลี้ยจักจั่นสีเขียวสร้างปัญหาให้กับนาข้าวค่อนข้างมาก พวกมันจะอพยพเข้าท้องนาตั้งแต่ระยะต้นกล้า จากนั้นก็ขยายพันธุ์แล้วทำลายต้นข้าวไปเรื่อยๆ ลักษณะของเพลี้ยชนิดนี้คือมีลำตัวสีเขียวอ่อนและมีจุดแต้มสีดำบนส่วนหัว เคลื่อนไหวรวดเร็วและบินได้ไกลหลายกิโลเมตร

  1. เพลี้ยจักจั่นลายจุดสีน้ำตาล

เพลี้ยชนิดนี้จะมีขนาดลำตัวอยู่ที่ประมาณ 2.5-3.5 มิลลิเมตร ทั่วทั้งตัวจะมีจุดสีน้ำตาลอ่อนขนาดเล็กแต้มอยู่ โดยมีช่วงอายุประมาณ 50-70 วัน เป็นศัตรูตัวร้ายที่ทำให้เกิดโรคใบขาวในต้นอ้อย มีการระบาดอย่างมากในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม

  1. เพลี้ยจักจั่นหลังขาว

เพลี้ยจักจั่นหลังขาวก็เป็นอีกหนึ่งตัวการของโรคใบขาวในต้นอ้อยเช่นกัน จุดเด่นอยู่ที่มีแถบสีขาวพาดผ่านกลางลำตัวตามแนวยาว ในช่วงยังเป็นตัวอ่อนอาจทำให้สับสนกับพันธุ์ลายจุดสีน้ำตาลอยู่บ้าง เพราะต้องลอกคราบครั้งสุดท้ายก่อนถึงจะมีแถบขาวให้เห็น ขนาดลำตัวไม่เกิน 4 มิลลิเมตร และระบาดในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน

เพลี้ยกระโดด

เพลี้ยกระโดดจัดเป็นแมลงจำพวกปากดูด ลำตัวอ้วนป้อมเล็กน้อยและมีปีกที่แข็งแรงจนสามารถอพยพย้ายถิ่นด้วยระยะทางไกลได้ ทุกสายพันธุ์จะปีกทั้งแบบสั้นและแบบยาว เพลี้ยกระโดดที่โตเต็มวัยแล้วจะมีอายุอยู่ได้ไม่เกิน 2 สัปดาห์ และพวกมันจะวางไข่คราวละ 100 ฟองเป็นอย่างต่ำ จุดที่ทำให้สังเกตการระบาดของเพลี้ยกระโดดได้ง่ายขึ้นคือลักษณะการเรียงไข่ตามเส้นกลางของใบข้าว และมีรอยช้ำสีน้ำตาลตรงพื้นที่วางไข่ชัดเจน

ลักษณะการทำลาย

การเข้าทำลายของเพลี้ยกระโดดจะเริ่มตั้งแต่ระยะต้นกล้า โดยอาศัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากพืชเพื่อการเติบโต และขยายพันธุ์หลายรุ่นในฤดูกาลเพาะปลูกเดียว ก่อนที่ต้นข้าวจะออกดอกเพลี้ยรุ่นหลังก็พัฒนาเป็นสายพันธุ์ปีกยาวเพื่อรอการอพยพ ความเสียหายจากเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลจะกระจุกตัวเป็นหย่อมๆ ขณะที่เพลี้ยกระโดดหลังขาวนั้นทำลายเป็นวงกว้างอย่างสม่ำเสมอ ต้นข้าวจะมีอาการใบเหลืองส้มไปจนถึงน้ำตาลเข้ม ใบแห้ง ต้นแคระแกร็น และทยอยตายไป งานส่งเสริมการเกษตร เทศบาลตำบลยางหล่อ ระบุว่าเพลี้ยเหล่านี้พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือตอนล่างมากกว่าบริเวณอื่น

 

 

 

 

 

  1. เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล

ลำตัวของเพลี้ยชนิดนี้จะมีสีน้ำตาลอ่อนเสมอกันตั้งแต่หัวจรดหาง แม้แต่ส่วนปีกก็เป็นสีเดียวกับลำตัวด้วย ตัวเมียที่มีปีกสั้นจะมีรูปร่างกลมมากกว่าตัวปีกยาว และสามารถวางไข่ได้มากกว่าประมาณ 2 เท่า เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลชอบอยู่ในจุดที่มีความชื้นสูง ดังนั้นมันจะย้ายมารวมกันบริเวณโคนกอข้าวหรือพื้นดินเมื่อนาข้าวขาดน้ำ

  1. เพลี้ยกระโดดหลังขาว

ลักษณะโดยรวมคล้ายคลึงกับเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล แต่ส่วนปีกจะมีจุดดำเล็กๆ กระจายตัวอยู่และมีแถบสีขาวตรงช่วงอก เมื่อยังเป็นตัวอ่อน เพลี้ยกระโดดหลังขาวจะรวมกลุ่มกันอยู่บริเวณโคนกอข้าว แต่เมื่อโตเต็มวัยแล้วจะย้ายมาอาศัยในจุดที่สูงกว่านั้น อาจเป็นช่วงกลางลำต้นหรือปลายยอดข้าวก็ได้

 

เพลี้ยไก่แจ้

เพลี้ยไก่แจ้มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่าเพลี้ยไก่ฟ้า เนื่องจากตัวอ่อนระยะแรกจะมีปุยสีขาวติดอยู่ตามลำตัว โดยช่วงท้ายของลำตัวจะมีปุยขาวเป็นเส้นยาวคล้ายหางไก่ เมื่อผ่านการลอกคราบเป็นตัวโตเต็มวัย ผิวด้านนอกจะกลายเป็นสีน้ำตาลปนเขียว หนวดยาว ปีกใส ช่วงลำตัวยาวไม่เกิน 5 มิลลิเมตร พอถึงช่วงขยายพันธุ์จะทำการวางไข่ภายในเนื้อเยื่อพืช จุดที่เพลี้ยวางไข่ไว้จะมีตุ่มนูนขึ้นมาพร้อมกับเกิดวงสีเหลืองหรือน้ำตาลเป็นกลุ่มๆ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวว่า เพลี้ยไก่แจ้ในแต่ละรุ่นนั้นมีอายุได้ยาวนานถึง 6 เดือนทีเดียว และเรานิยมเรียกชื่อเพลี้ยสายพันธุ์นี้ตามต้นพืชที่มันเข้าทำลายด้วย เช่น เพลี้ยไก่แจ้ลำไย เพลี้ยไก่แจ้ทุเรียน เพลี้ยไก่แจ้ส้ม เป็นต้น

ลักษณะการทำลาย

แม้ว่าการเลือกเข้าทำลายสายพันธุ์พืชของเพลี้ยไก่แจ้แต่ละกลุ่มจะต่างกัน เช่น กลุ่มหนึ่งเจาะจงเข้าจัดการกับต้นลำไยโดยเฉพาะ อีกกลุ่มเน้นเข้าจัดการกับต้นทุเรียน เป็นต้น แต่ลักษณะการสร้างความเสียหายก็คล้ายคลึงกันหมด คือตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะดูดน้ำเลี้ยงจากต้นพืช ส่วนที่เป็นใบอ่อนและยอดอ่อนจะได้รับผลกระทบก่อน ใบจะหงิกงอและไม่คลี่ออกตามธรรมชาติ มีสีเหลืองซีดและแห้งกรอบ ไม่นานก็จะหลุดร่วงไป นอกจากนี้ระหว่างที่ตัวอ่อนดูดกินน้ำเลี้ยงก็จะขับของเหลวออกมาด้วย ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดราบนต้นพืชด้วย

เพลี้ยหอย

เพลี้ยหอยเป็นแมลงปากดูดขนาดเล็กที่มีรูปร่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในแต่ละสายพันธุ์ ต้นพืชที่เป็นเป้าหมายและช่วงเวลาในการแพร่ระบาดก็ต่างกันด้วย เหตุที่เรียกว่าเพลี้ยหอยเพราะมีจุดร่วมหนึ่งเหมือนกัน นั่นคือมีเกราะหุ้มลำตัวคล้ายเปลือกหอย แต่ก็ยังแยกเป็นแบบเกราะแข็งกับเกราะอ่อนอีก ส่วนมากเพลี้ยหอยจะไม่ได้มีเกราะมาตั้งแต่แรกเริ่ม ต้องผ่านการลอกคราบและเริ่มดูดกินน้ำเลี้ยงจากต้นพืชเสียก่อน

ลักษณะการทำลาย

รูปแบบการสร้างความเสียหายของเพลี้ยหอยทุกชนิดจะคล้ายคลึงกับเพลี้ยอ่อน คือเจาะเซลล์พืชเพื่อดูดกินน้ำเลี้ยงจนต้นพืชนั้นเสื่อมโทรม ในระยะแรกอาจจะเป็นการเสียรูปทรงของใบอ่อน สีใบเหลืองซีดและเหี่ยวย่น บางส่วนอาจหลุดจากขั้วไป นอกจากนี้เพลี้ยหอยบางชนิดยังสามารถปล่อยของเหลวที่ทำให้เกิดเชื้อราเกาะติดที่ผิวนอกของต้นพืชได้ด้วย

 

 

 

 

 

 

  1. เพลี้ยหอยเกราะอ่อน

เป็นเพลี้ยหอยที่มีรูปร่างคล้ายไข่ไก่สีชมพูอมส้ม ขนาดประมาณ 2.5-3.0 มิลลิเมตร เพศเมียจะมีแผ่นไขมันสีขาวปกคลุมทั่วตัว แต่เพศผู้จะลำตัวสีเข้มกว่าเล็กน้อยและมีปีกบางใส ในฤดูขยายพันธุ์เพลี้ยหอยเกราะอ่อนสามารถวางไข่ได้ครั้งละ 600-2000 ฟอง ที่ต้องวางไข่มากขนาดนี้เพราะตัวอ่อนใช้เวลานานกว่าจะโตเต็มวัย ส่วนมากพบการระบาดในลำไย ลิ้นจี่และเงาะ

  1. เพลี้ยหอยข้าวตอก

เพลี้ยหอยข้าวตอกจะมีขนาดลำตัวประมาณ 5 มิลลิเมตร ผิวรอบนอกมีชั้นไขมันปกคลุมทำให้ดูเหมือนเมล็ดข้าวตอก กรมวิชาการเกษตรให้ข้อมุลว่าเพลี้ยหอยข้าวตอกตัวเมียจะวางไข่หลายพันฟองเพื่อเพิ่มจำนวนตัวอ่อนที่เป็นสีสนิม จากนั้นตัวอ่อนจะหาตำแหน่งดูดกินน้ำเลี้ยงพร้อมสร้างชั้นไขมันคลุมตัวเอง ไม่เคลื่อนที่ไปไหนอีก พบว่าระบาดมากในลำไยและลิ้นจี่

  1. เพลี้ยหอยเกล็ด

แม้ว่าเพลี้ยหอยเกล็ดจะเข้าทำลายพืชหลายชนิด แต่จากสถิติพบว่าระบาดในมันสำปะหลังและทุเรียนมากเป็นพิเศษ รูปร่างของเพลี้ยหอยเกล็ดจะคล้ายกับเปลือกหอยขนาดเล็กที่เป็นเกล็ดสีขาวนูน ขึ้นปกคลุมทั่วต้นพืช เพลี้ยจะเคลื่อนที่ได้แค่ช่วงตัวอ่อนระยะแรกเท่านั้น หลังผ่านการลอกคราบก็จะทิ้งคราบเก่าสะสมไปเรื่อยๆ พร้อมกับแผ่ขยายเป็นวงกว้างปิดพื้นผิวของต้นพืชจนหมด

  1. เพลี้ยหอยสีเขียว

เพลี้ยหอยสีเขียวที่โตเต็มวัยแล้วจะมีสีเขียวอ่อนอมเหลือง ลำตัวเป็นรูปไข่ ท้องแบนหลังโป่ง และมีเกราะแข็งหุ้มอยู่ชั้นนอกสุด หลังจากดูดกินน้ำเลี้ยงได้แล้วก็จะขับถ่ายของเหลวมาปกคลุมต้นพืชจนไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ จากข้อมูลในเอกสารวิชาการของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุว่าเพลี้ยชนิดนี้เป็นศัตรูพืชที่สร้างความเสียหายให้ต้นกาแฟสูงมาก แต่ก็มีศัตรูตามธรรมชาติอยู่ด้วย เช่น แตนเบียน ด้วงเต่าสีส้ม เป็นต้น

  1. เพลี้ยหอยสีแดง

นี่คือเพลี้ยหอยเกราะอ่อนอีกชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อย ลำตัวเป็นทรงกลมเหมือนโล่สีน้ำตาลแดง เมื่อโตเต็มวัยแล้วจะมีเพียงแค่ตัวผู้เท่านั้นที่มีปีก เป็นกลุ่มเพลี้ยที่เน้นเข้าทำลายพืชตระกูลส้มโดยเฉพาะ สายพันธุ์พืชที่พบปัญหาได้บ่อยคือส้มโอ ส้มเขียวหวาน ส้มสายน้ำผึ้ง และมะนาว

การป้องกันกำจัด

สายพันธุ์เพลี้ยทั้งหมดข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งที่พบได้บ่อยในบ้านเราเท่านั้น การจะระบุสายพันธุ์ที่ชัดเจนเพื่อจัดการป้องกันจึงเป็นเรื่องยุ่งยากพอสมควร อีกทั้งระยะเวลาในการระบาดก็มีผลอย่างมากต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ยิ่งปล่อยทิ้งไว้นานเท่าไรผลผลิตก็ยิ่งเสียหายมากเท่านั้น ข้อดีคือเราสามารถใช้วิธีการป้องกันกำจัดแบบเดียวกันกับเพลี้ยทุกชนิดได้ เพียงแค่ปรับเปลี่ยนวิธีการไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดังนี้

1.หมั่นสำรวจแปลงเพาะปลูกอยู่เสมอ เพื่อให้เห็นสัญญาณการระบาดของเพลี้ยตั้งแต่เนิ่นๆ และเร่งจัดการได้ทันท่วงที พร้อมกับตัดแต่งพุ่มใบไม่ให้หนาแน่นรกทึบจนเกินไป

2.หากพบเพลี้ยจำนวนเล็กน้อยในต้นพืช สามารถไล่เพลี้ยที่หลบซ่อนอยู่ให้หลุดออกไปจากต้นพืชได้ ด้วยการฉีดน้ำใส่ยอดอ่อน ปลายกิ่ง และช่อดอก โดยต้องทำต่อเนื่องหลายครั้งจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีเพลี้ยกลับมาอีก

3.ถ้าการระบาดของเพลี้ยเริ่มกินวงกว้างขึ้น แต่ยังไม่หนักหนาเกินไป สามารถใช้วิธีตัดกิ่งก้านที่มีเพลี้ยอาศัยอยู่ไปเผาทำลายได้ หรือหากเป็นเพลี้ยอาศัยแบบไม่เคลื่อนที่ จะใช้วิธีรูดเฉพาะตัวเพลี้ยไปทำลายก็ได้

4.กรณีที่เพลี้ยระบาดรุนแรงก็จำเป็นต้องใช้สารเคมีฉีดพ่นเพื่อกำจัดเพลี้ยเหล่านั้น ซึ่งสูตรสารเคมีที่ใช้มีให้เลือกค่อนข้างหลากหลาย เช่น ไพมีโทรซีน อิมิดาคลอพริด ไทอะมีทอกแซม ฟิโพรนิล คาร์บาริล บูโพรเฟซิน เป็นต้น โดยอัตราส่วนในการใช้งานก็ให้ปรับตามคำแนะนำของผู้ผลิตที่เหมาะสมกับเพลี้ยแต่ละชนิด

5.สำหรับพืชที่ไม่ใช่ไม้ยืนต้น เช่น มันสำปะหลัง ต้นข้าว เป็นต้น ให้เลือกเพาะปลูกด้วยเมล็ดพันธุ์ต้านทานโรค หรือแช่เมล็ดพันธุ์และท่อนพันธุ์ในน้ำยาป้องกันศัตรูพืชก่อนเพาะปลูก

6.ใช้ปุ๋ยเร่งใบกระตุ้นการแตกใบอ่อนเพื่อให้ต้นพืชแตกยอดพร้อมกันทั้งหมด จะช่วยลดระยะการเข้าทำลายของเพลี้ยให้สั้นลงได้

7.ระวังป้องกันแมลงพาหะที่ช่วยเคลื่อนย้ายเพลี้ยบางชนิด เช่น มดที่ช่วยเคลื่อนย้ายเพลี้ยอ่อน เป็นต้น จะใช้เป็นสารเคมีหรือสมุนไพรกำจัดแมลงก็ได้ ขณะเดียวกันก็ให้รักษาศัตรูเพลี้ยตามธรรมชาติเอาไว้ด้วย

8.ฉีดพ่นสารป้องกันและยับยั้งเชื้อราทุกครั้ง หลังกำจัดเพลี้ยชนิดที่ขับถ่ายของเหลวดึงดูดเชื้อราได้

นอกจากนี้การศึกษาว่าพืชที่เราเพาะปลูกมีโอกาสพบเจอกับเพลี้ยชนิดใดบ้าง และการแพร่ระบาดจะเกิดขึ้นในช่วงไหนของปี ก็จะช่วยให้เราวางแผนเพื่อเตรียมการป้องกันได้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

**คำแนะนำเพิ่มเติม

โดยสามารถใช้ไร่เทพอัตรา 1 ซอง สามารถผสมน้ำได้ 100-200 ลิตร ฉีดพ่นเป็นละอองในพืช จะมีสารจากธรรมชาติเข้าไปทำให้ระบบรากของพืชงอก และขยายลงดินได้ดีกว่าปกติ ส่งผลให้พืชโตเร็ว รากยาว การดูดธาตุอาหารในดินดีกว่าปกติ เพิ่มผลผลิต พืชโตเร็ว เพิ่มผล เพิ่มแป้ง เพิ่มน้ำตาล ดึงช่อ แตกกอ ลงหัว ใช้ได้กับพืชทุกชนิด และยังมีสารพิเศษที่ช่วยให้พืชสร้างสารสังเคราะห์แสง ใบพืชจะเขียวดำ  ไม่ใช่เขียวอ่อนเหมือนการใช้ปุ๋ยเคมี นอกจากนี้สารตระกูลอะมิโนจะไปช่วยให้เข้าสู่สภาวะสมดุลที่ควรจะเป็น เช่น ในพืชผักกินใบ จะมีใบใหญ่หนา ได้น้ำหนักดี   ส่วนในผลไม้ ไม้ดอก จะทำให้เกิดการแตกดอกใหม่ อีกทั้งยังทำให้พืชต้านทานโรคและแมลงได้ดี และไร่เทพ สามารถใช้ผสมร่วมกับสารป้องกันกำจัดเพลี้ยได้ทุกชนิด

เคล็ดลับการใช้ไร่เทพ

-ระยะหลังเก็บเกี่ยว( ฟื้นสภาพต้น ) ใช้ไร่เทพ 1ซอง + ดินเทพ 5-10 ซีซี ผสมน้ำ 100 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้นทุก 10-15 วัน

-ระยะใบอ่อน ใช้ไร่เทพ 1ซอง + ดินเทพ 5-10 ซีซี ผสมน้ำ 100 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้นทุก 10-15 วัน

-ระยะสะสมอาหาร ( ใบเพสลาด ) ใช้ไร่เทพ 1ซอง + ดินเทพ 5-10 ซีซี ผสมน้ำ 100 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้นทุก 10-15 วัน

-ระยะเริ่มออกดอก ใช้ไร่เทพ 1ซอง + ดินเทพ 5-10 ซีซี ผสมน้ำ 100 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้นทุก 10-15 วัน

-ระยะติดผลผ่อน ใช้ไร่เทพ 1ซอง + ดินเทพ 5-10 ซีซี ผสมน้ำ 100 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้นทุก 10-15 วัน

-ระยะขยายขนาดผล ใช้ไร่เทพ 1ซอง + ดินเทพ 5-10 ซีซี ผสมน้ำ 100 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้นทุก 10-15 วัน

-ระยะก่อนเก็บเกี่ยว ใช้ไร่เทพ 1ซอง + ดินเทพ 5-10 ซีซี ผสมน้ำ 100 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้นทุก 10-15 วัน

ขอบคุณ : ภาพ และข้อมูลอ้างอิงจาก 

– เพลี้ยอ่อนแมลงพาหะนำโรคพืช, พัชรินทร์ ครุฑเมือง

– แมลง-ไร ศัตรูไม้ผล, เคหะการเกษตร

– เพลี้ยจั๊กจั่น, สำนักวิจัยและพัฒนา กรมการข้าว

– เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ,องค์ความรู้เรื่องข้าว กรมการข้าว

– เอกสารวิชาการของ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

– เพลี้ยไฟ, คุณศิริณี พูนไชยศรี

– เพลี้ยแป้ง ,สำนักงาน เกษตรจังหวักตราด ดร.อุดมศักด์ เลิศสุชาตวนิช

.
😊ไร่เทพ คุณภาพขั้นเทพ
สารที่เป็นส่วนผสมสำคัญ
1. สารฮิวมิค (Humus หรือ Humic Substance )
2. ฟูลวิค แอซิด (Fulvic Acid)
3. อะมิโนจากสาหร่ายทะเล
4. อะมิโนจากเลือดปลา
5. สารพิเศษจากอิสราเอล
6. สารในกลุ่มอาหารพืชอื่นๆ
😊ไร่เทพ คุณภาพขั้นเทพ
สอบถามข้อมูล-เทคนิคการปลูกพืชชนิดต่างๆ เรามีทีมส่งเสริมการขายที่เชี่ยวชาญ พร้อมตอบคำถามเกษตรกรตลอดเวลา
🌾👀🌾🍅🍆🌽🍄🌰 🍇🍈🍉🍊🍋🍌🍍🍎🍏🍐
—————————-
Tel. : 098-280-8200
—————————-

การปลูกมะนาว

การปลูกมะนาว

มะนาวเป็นไม้ผลตระกูลส้มประเภทหนึ่งที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย โดยมีแหล่งปลูกที่สำคัญได้แก่ จังหวัดเพชรบุรี สุราษฎร์ธานี นครสวรรค์ กาญจนบุรี สมุทรสาคร นครปฐม และเชียงใหม่ มะนาวเป็นพืชที่มีประโยชน์และคุณค่ามาก เนื่องจากสามารถใช้ปรุงเป็นอาหารและเครื่องดื่ม อีกทั้งยังมีสรรพคุณทางยา เพราะมีวิตมินซีสูงสามารถใช้เป็นยาสมุนไพรและนิยมนำไปใช้ในเครื่องสำอาง ทำให้ภาคอุตสาหกรรมที่มีการใช้มะนาวเป็นวัตถุดิบ มีความต้องการมะนาวสูงขึ้นทุกปี ตามเศรษฐกิจที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น จึงทำให้มะนาวมีบทบาทสำคัญทางการค้ามากยิ่งขึ้น ดังนั้นมะนาวจึงเป็นพืชที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ที่มีความต้องการของตลาดสูงตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงฤดูแล้งประมาณเดือนมีนาคม – เมษายน ของทุกปี มะนาวจะมีราคาสูงกว่าปกติถึง 5 – 10 เท่า เนื่องจากในฤดูแล้งมะนาวจะมีผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย จึงทำให้มีผู้สนใจปลูกมะนาวนอกฤดูมากขึ้น

พันธุ์มะนาว

พันธุ์มะนาวที่พบในประเทศไทยมีอยู่หลายพันธุ์ แต่พันธุ์ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และนิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย ได้แก่
1.มะนาวแป้น ทรงผลแป้นและมีขนาดกลาง เปลือกบาง สามรถให้ผลผลิตได้ตลอดปี มีหลายพันธุ์ เช่น แป้นรำไพ แป้นพิจิตร แป้นทราย แป้นจริยา เป็นต้น
2.มะนาวหนัง ผลอ่อนมีลักษณะกลมยาวหัวท้ายแหลม เมื่อผลโตเต็มที่จะมีลักษณะกลมค่อนข้างยาว มีเปลือกค่อนข้างหนาจึงทำให้รักษาผลไว้ได้นาน
3.มะนาวไข่ ผลมีขนาดและลักษณะคล้ายกับมะนาวหนังเกือบทุกอย่าง คือผลอ่อนมีลักษณะกลมยาวหัวท้ายแหลม เมื่อผลโตเต็มที่จะมีลักษณะกลมมน ขนาดผลโตกว่าและมีเปลือกบางกว่ามะนาวหนัง
4.มะนาวตาฮิติ มีลักษณะเด่นคือ ผลมีขนาดใหญ่ ไม่มีเมล็ด และมีเปลือกหนา
5.มะนาวพวง มีลักษณะรูปทรงกลมรี เปลือกหนา ติดผลเป็นช่อมากกว่า 10ผล และให้ผลผลิตตลอดปี

การปลูก

มะนาวสามารถปลูกได้ดีในดินเกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นดินเหนียว ดินทราย แต่ถ้าต้องการจะปลูกมะนาวให้เจริญงอกงามดี มีผลดก และคุณภาพดีก็ควรจะปลูกในพื้นที่ที่เป็นดินร่วนปนทราย มีการระบายน้ำได้ดี มีอินทรียวัตถุผสมอยู่มาก คือ ควรมีปริมาณอินทรียวัตถุไม่น้อยกว่า 3เปอร์เซ็นต์ และควรเลือกพื้นที่ที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ ระดับน้ำใต้ดินไม่ควรสูงเกิน 1เมตร แต่ถ้าเป็นดินเหนียวควรมีการยกร่องปลูก เพื่อให้มีการระบายน้ำได้ดี โดยเตรียมพื้นที่คันดิน ให้มีพื้นที่กว้างประมาณ 6 – 8 เมตร ส่วนสูงให้สังเกตจากปริมาณน้ำที่เคยท่วมสูงโดยให้สูงกว่าแนวระดับน้ำท่วม 50เซนติเมตร แทงร่องหรือซอยร่องทำประตูน้ำ เพื่อการระบายน้ำเข้าออก ขนาดร่องน้ำกว้าง 1.50 เมตร ลึก 1เมตร พื้นร่องกว้าง 0.50 – 0.70 เมตร ค่า pH ประมาณ 5.5-6.0 โดยใช้ระยะปลูกประมาณ 4×4 เมตร หรือ 6×6 เมตร ก่อนนำกิ่งพันธุ์ปลูกให้เตรียมดินหากดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำให้บำรุงดินในหลุมปลูก ( ขนาดหลุมปลูก 50x50x50 เซนติเมตร ) ผสมปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเข้ากับดินที่ขุดมาอัตราหลุมละ 1กิโลกรัม พร้อมกับปุ๋ยหินฟอสเฟต 0.50 กิโลกรัม และปุ๋ยเคมี สูตรเสมอ เช่น 15-15-15 อัตรา 0.1 กิโลกรัม แล้วกลบดินลงไปในหลุม เนื่องจากมะนาวเป็นพืชตระเดียวกับส้ม ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันโรคที่อาจแพร่มาจากส้มควรเลือกพื้นที่ให้ห่างจากแหล่งปลูกส้มเดิมที่มีแมลงเป็นพาหะอย่างน้อย 10 กิโลเมตร **คำแนะนำเพิ่มเติม ผสมไร่เทพอัตรา 1ซอง / น้ำ 100 ลิตร และดินเทพ อัตรา 80 ซีซี / น้ำ 100 ลิตร หลังผสมแล้วนำไปรดรอบโคนต้น ต้นละ 3-5 ลิตรหลังปลูกให้ทั่วถึง

การดูแลรักษา

1.การให้น้ำ การปลูกมะนาวในระยะแรกควรให้น้ำอย่างน้อยวันละครั้ง หลังปลูกประมาณ 15 วัน ต้นมะนาวจะสามารถตั้งตัวได้ ควรให้น้ำเดือนละ 2-3 ครั้ง และควรหาวัสดุมาคลุมดินบริเวณโคนต้น เพื่อช่วยรักษาความชื้น แล้วควรงดให้น้ำช่วงเดือนมีนาคม จนถึงช่วงออกดอกเพื่อให้มะนาวสะสมอาหารให้สูงถึงระดับสามารถสร้างตาดอกได้ ปกติมะนาวจะออกดอกช่วงเดือน เมษายน – พฤษภาคม หลังจากมะนาวติดผลอ่อน เป็นช่วงที่มะนาวต้องการน้ำมากเพื่อใช้ในการเจริญเติบโตของผล
2.การใส่ปุ๋ย หลังจากมะนาวได้ 3-4 เดือน ควรใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ประมาณต้นละ 0.50 กิโลกรัม การใส่ปุ๋ยเคมีควรใส่หลังจากพรวนดินกำจัดวัชพืชแล้ว โดยใส่บริเวณรอบทรงพุ่ม แล้วให้น้ำเพื่อให้ปุ๋ยละลาย เมื่อมะนาวอายุ 1ปี ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ต้นละ 300 กรัม และมะนาวอายุ 2ปี ให้เพิ่มปริมาณปุ๋ยปีละ 2ครั้ง ครั้งละประมาณ 1กิโลกรัมทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพความอุดมสมบูรณ์ ของต้น และเมื่อมะนาวอายุ 3ปี จะเริ่มให้ผลผลิต จากนั้นช่วงระยะก่อนออกดอกประมาณ 1-2 เดือน ให้ใสปุ๋ยสูตรที่มีฟอสฟอรัสสูง เช่น สูตร 12-24-12 หรืออาจใช้ปุ๋ยสูตร 3-10-10 เพื่อเร่งการเจริญเติบโตในระยะที่ยังไม่ออกดอก และใช้สูตร 0-52-34 ในระยะเร่งการออกดอก ประมาณ 0.5 – 1 กิโลกรัม / ต้น ซึ่งปริมาณที่ใช้ขึ้นอยู่กับอายุของต้นพืชโดยใส่ในปริมาณครึ่งหนึ่งของอายุต้น **คำแนะนำเพิ่มเติม ผสมไร่เทพอัตรา 1 ซอง / น้ำ 100 ลิตร และดินเทพ อัตรา 10 ซีซี / น้ำ 100 ลิตร ฉีดพ่นเป็นละอองทุก 15 วันในแปลงมะนาวให้ทั่วถึงทั้งแปลง
3.การกำจัดวัชพืช ในสวนมะนาวสามารถทำได้หลายวิธี เช่น ถอน ถาง หรือใช้เครื่องตัดหญ้าแต่ต้องระวังอย่าให้เกิดบาดแผลตามโคนต้น หรือกระทบกระเทือนระบบราก วิธีการกำจัดวัชพืชอีกวิธีหนึ่งที่นิยมคือการใช้สารเคมี เช่น กลูโฟซิเนต ไพริเบนโซซิม เป็นต้น โดยการใช้จะต้องระวังอย่าให้ละอองสารนี้ปลิวไปถูกใบมะนาวเพราะอาจเกิดอันตรายได้ เช่นทำให้ใบเหลืองเป็นจุดไหม้ทั้งใบ ดังนั้น จึงควรฉีดพ่นสารตอนลมสงบ4.การค้ำกิ่ง เมื่อมะนาวใกล้จะผลิดอกออกผล ต้องมีการค้ำกิ่งให้กับต้นมะนาว เพื่อป้องกันกิ่งฉีก หัก หรือฉีกขาดโดยเฉพาะในช่วงติดผลและยังช่วยลดความเสียหาย เนื่องจากโรคและแมลงได้โดยการค้ำกิ่ง สามารถทำได้ 2วิธี คือ
– 4.1 การค้ำกิ่งโดยการใช้ไม้รวกหรือไม้ไผ่ทำเป็นง่ามสอดเข้ากับกิ่งมะนาว ให้ปลายอีกข้างหนึ่งวางตั้งรับน้ำหนักของกิ่งอยู่บนพื้นดิน แล้วผูกเชือกมัดกิ่งไว้


– 4.2 การค้ำกิ่งแบบคอกหรือนั่งร้าน โดยเอาไม้มาทำเป็นนั่งร้านรูปสี่เหลี่ยมรอบต้นมะนาวเพื่อรองรับกิ่งขนาดใหญ่ซิ่งวิธีนี้จะมั่นคงกว่าวิธีแรก

5.การตัดแต่งกิ่งเพื่อให้มะนาวมีทรงพุ่มสวยและช่วยให้ติดผลมาก ปราศจากการทำลายของโรคและแมลง การตัดแต่งกิ่งควรทำหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว โดยตัดกิ่งที่เป็นโรค กิ่งแห้งและกิ่งที่ไม่มีประโยชน์ออกให้หมด ( กิ่งกระโดงหรือกิ่งน้ำค้าง ) แล้วนำไปเผาทำลายอย่าปล่อยทิ้งเพราะจะทำให้เป็นแหล่งสะสมโรคได้

โรคของมะนาว


1.โรคแคงเกอร์ สาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สามารถเกิดขึ้นได้ทุกส่วนทั้งใบ กิ่งก้านและผล โดยการที่ใบและผลจะมีลักษณะคล้ายกัน คือจะเกิดเป็นแผลกลม แล้วจะขยายใหญ่ ฟูนูนคล้ายฟองน้ำ มีสีเหลืองอ่อนถึงสีเหลืองเข้ม จากนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม และจะแตกเป็นสะเก็ดมีวงแหวนสีเหลืองล้อมรอบแผล ส่วนอาการที่กิ่งก้านเริ่มแรกจะมีแผลฟูนูนสีเหลือง จากนั้นแผลจะแตกแห้งเป็นสีน้ำตาลขยายไปรอบกิ่ง รูปร่างของแผลไม่แน่นอนและไม่มีวงแหวนล้อมรอบ เมื่อต้นมะนาวเป็นโรคนี้มาก ๆ จะแสดงอาการต้นโทรม แคระแกร็น ใบร่วง ผลผลิตลดลง กิ่งและต้นจะแห้งตายในที่สุด
การป้องกันกำจัด ตัดแต่งส่วนที่เป็นโรคเผาทำลาย ไม่ขยายพันธุ์จากต้นแม่ที่เป็นโรคแคงเกอร์ พยายามอย่าให้มะนาวเกิดบาดแผล และป้องกันแมลงที่เป็นพาหะ เช่น หนอนชอนใบ หรือฉีดพ่นด้วยสารป้องกันและกำจัด เช่น อีมาเม็กตินเบนโซเอต อบาเม็กติน หรือสไปนีโทแรม เป็นต้น
2.โรคราดำ เกิดจากเชื้อราลักษณะอาการบริเวณใบ กิ่งก้าน และผลจะมีราสีดำสกปรก ทำให้ผลไม่สวย ต้นมะนาวจะแคระแกร็น
การป้องกันกำจัด ทำลายส่วนที่เป็นโรคโดยการเผาไฟ และฉีดพ่นสารป้องกันกำจัดแมลง เช่น อิมิดาโคลพริด อเซทามิพริด อีมาเม็กตินเบนโซเอต เพื่อป้องกันแมลงประเภทปากดูด เช่น เพลี้ยไก่แจ้ เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน ไรสนิม ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคราดำ เนื่องจากแมลงเหล่านั้นถ่ายมูลที่มีองค์ประกอบที่เป็นน้ำตาล ซึ่งเป็นอาหารของราดำ
3.โรคกรีนนิ่งหรือใบแก้ว เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ลักษณะอาการบริเวณใบจะด่างเป็นสีเหลืองหรือขาวใสระหว่างเส้นใบ ใบมีขนาดเล็กลง ในที่สุดใบและยอดจะแห้งตาย ผลมีขนาดเล็กน้ำหนักน้อย ต้นจะโทรม
การป้องกันกำจัด ทำลายส่วนที่เป็นโรคโดยการเผาไฟ ใส่ปุ๋ยที่มีธาตุ สังกะสีและแมกนีเซียม ปรับสภาพความเป็นกรด-ด่าง ของดินให้อยู่ระหว่าง 6.0-6.5
4.โรคยางไหล เกิดจากเชื้อราลักษณะอาการมียางไหลบริเวณลำต้นและกิ่งก้านเปลือกจะเน่า และแผลจะลุกลามถึงเนื้อไม้
การป้องกันกำจัด ควรตัดแต่งกิ่งและกำจัดวัชพืชเพื่อให้แสงส่องทั่วถึง และควรทาบาดแผลด้วยสารทองแดง หรือกำมะถันผสมปูนขาว ถ้ามีการระบาดมากก็เผาทำลาย
5.โรครากเน่าและโคนเน่า เกิดจากเชื้อรา ลักษณะอาการรากฝอยและรากแขนงเน่าสีน้ำตาลหรือดำ ลักษณะเหนียว ไม่ยุ่ย เปลือกลำต้นจะปริแตกออก โดยเฉพาะโคนต้น และมียางไหลบริเวณขอบแผล เมื่อรากและต้นถูกทำลายมาๆจะทำให้ใบเหลืองและร่วงหล่น
การป้องกันกำจัด อย่าให้น้ำขังบริเวณโคนต้น และไม่ควรใส่ปุ๋ยคอยปุ๋ยหมักมากเกินไปในช่วงฤดูฝน หรืออาจฉีดพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น ฟอสอีธิลอลูมินั่ม ฟอสโฟนิคแอซิด เป็นต้น

แมลงศัตรูของมะนาว


1.หนอนชอนใบ จะทำความเสียหายให้กับมะนาวในระยะใบอ่อน โดยจะชอนไชกัดกินอยู่ระหว่างผิวใบด้านหน้าและหลังใบ สามารถเห็นเป็นทางสีขาวคดเคี้ยวไปมา ใบหงิกงอ ขอบใบม้วนเข้าหาเส้นกลางใบ และใบไม่เจริญเติบโต ต้นมะนาวจะแคระแกร็นไม่ติดผล
การป้องกันกำจัด โดยการตรวจดูตามใบและยอดของมะนาว โดยเฉพาะระยะที่มะนาวเริ่มผลิใบอ่อน กรณีที่ระบาดน้อยให้เด็ดใบเผาทำลาย หากพบมากให้ฉีดพ่นด้วยสารกำจัดแมลง กลุ่มอีมาเม็กตินเบนโซเอต อะบาเม็กติน ไซเปอร์เมทริน
2.หนอนกินใบ (หนอนแก้ว) จะกัดกินใบอ่อนและยอดอ่อนของมะนาว
การป้องกันกำจัด ตรวจดูตามใบอ่อน และยอดอ่อนของมะนาว เมื่อพบไข่และตัวหนอนก็ให้เก็บมาทำลาย หรือฉีดพ่นสารเคมีกำจัดแมลง เช่นเดียวกับหนอนชอนใบ
3.เพลี้ยไฟ จะดูดกินน้ำเลี้ยงที่ยอดอ่อน ใบอ่อน และผลของการทำลายจะรุนแรงในระยะผลอ่อน นับแต่เริ่มติดผล ช่วงระยะการระบาดจะขึ้นอยู่กับการแตกยอดอ่อน และระยะติดผล ผลจะถูกทำลายจะปรากฏรอยสีเทา เป็นวงบริเวณขั้วผล และก้นผลหรือเป็นขีดสีเทาตามความยาวของผล
การป้องกันและกำจัดเด็ดผลที่แคระแกร็นออก หรือหากพบการทำลายของเพลี้ยไฟ ให้ฉีดพ่นด้วย สารกำจัดแมลง เช่น อิมิดาโคลพริด อเซทามิพริด อีมาเม็กตินเบนโซเอต หรืออบาเม็กติน เป็นต้น
4.ไรแดง จะดูดกินน้ำเลี้ยงที่ใบแล้วใบจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหงิกงอ ไม่เจริญเติบโตและร่วงหล่น ผลมะนาวจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน และเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลในเวลาต่อมาผิวผลจะกร้าน ผลแคระแกร็น และร่วงในที่สุด
การป้องกันกำจัด ฉีดพ่นด้วยกำมะถันผงชนิดละลายน้ำในอัตรา 4 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 20ลิตร ฉีดพ่นทุก 10-15 วัน ในตอนเช้าหรือเย็น เพื่อป้องกันอาการใบไหม้ หรือหากระบาดหนัก ฉีดพ่นด้วยสาร ไพริดาเบน ไดโคโฟล อมีทราซ เป็นต้น
**คำแนะนำเพิ่มเติม ผสมไร่เทพอัตรา 1ซอง / น้ำ 100 ลิตร และดินเทพ อัตรา 10 ซีซี / น้ำ 100 ลิตร ฉีดพ่นเป็นละอองทุก 15 วันในแปลงมะนาวให้ทั่วถึง

การเก็บเกี่ยวมะนาว

มะนาวมีอายุเก็บเกี่ยว 7-8 เดือนหลังจากดอกบาน การเก็บมะนาว กรณีต้นเตี้ยหรือไม่สูงมากนักสามารถเก็บโดยใช้มือปลิด แต่หากต้นสูงนิยมเก็บโดยใช้มีดหรือตะขอผูกติดกับด้ามไม้รวกยาว คล้องและกระตุกผลมะนาวลงมา แต่ถ้าต้องการมะนาวที่มีคุณภาพไม่บอบช้ำ ควรใช้ตระกร้อหวายในการเก็บเกี่ยว ควรเก็บเกี่ยวในขณะที่ผลเริ่มแก่ โดยสังเกตจากขั้วของผลเริ่มมีสีเหลืองเล็กน้อยผิวเปลือกจะเรียบบางใส มีสีเขียวอ่อนกว่าผลที่ยังไม่แก่ เมื่อบีบดูจะค่อนข้างนุ่มมือ ไม่ควรเก็บมะนาวที่แก่เกินไป เพราะเปลือกจะบางมาก ทำให้เกิดความเสียหายในขณะขนส่งได้ง่าย อีกทั้งเมื่อนำไปขายจะทำให้วางจำหน่ายได้ไม่นานและทำให้ผลเน่าเสียหายได้เร็ว
การจัดการหลังเก็บเกี่ยวผลผลิต
วิธีเก็บรักษามะนาวให้ไว้ได้นานต้องคัดแยกผลมะนาว โดยเลือกเอาผลมะนาวที่แก่พอเหมาะ มีสีเขียวจัด ไม่มีสีเหลืองปน ไม่มีรอยช้ำหรือเน่าและควรมีขั้วผลติดอยู่ด้วยแล้วนำมาล้างทำความสะอาดโดยใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น คลอรอกซ์ ผสมน้ำในอัตรา 1 ต่อ 15 ส่วน แช่ผลมะนาวไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วนำผลมะนาวมาผึ่งลมบนตะแกรงเพื่อให้สะเด็ดน้ำ แล้วจึงทำการคัดขนาดบรรจุแข่งหรือภาชนะบรรจุอื่นๆ ตามที่ตลาดต้องการ
ที่มา เรื่องการปลูกมะนาว สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
เรียบเรียงโดย ผศ.ดร.พีระศักดิ์ ฉายประสาท
*** เคล็ดลับการใช้ไร่เทพ และดินเทพ กับมะนาว ***
-ระยะหลังเก็บเกี่ยว ( ฟื้นสภาพต้น ) ใช้ไร่เทพ 1ซอง + ดินเทพ 5-10 ซีซี ผสมน้ำ 100 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้นทุก 10-15 วัน
-ระยะใบอ่อน ใช้ไร่เทพ 1ซอง + ดินเทพ 5-10 ซีซี ผสมน้ำ 100 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้นทุก 10-15 วัน
-ระยะสะสมอาหาร ( ใบเพสลาด ) ใช้ไร่เทพ 1ซอง + ดินเทพ 5-10 ซีซี ผสมน้ำ 100 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้นทุก 10-15 วัน


-ระยะเริ่มออกดอก ใช้ไร่เทพ 1ซอง + ดินเทพ 5-10 ซีซี ผสมน้ำ 100 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้นทุก 10-15 วัน


-ระยะติดผลอ่อน ใช้ไร่เทพ 1ซอง + ดินเทพ 5-10 ซีซี ผสมน้ำ 100 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้นทุก 10-15 วัน
-ระยะขยายขนาดผล ใช้ไร่เทพ 1ซอง + ดินเทพ 5-10 ซีซี ผสมน้ำ 100 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้นทุก 10-15 วัน
-ระยะก่อนเก็บเกี่ยว ใช้ไร่เทพ 1ซอง + ดินเทพ 5-10 ซีซี ผสมน้ำ 100 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้นทุก 10-15 วัน

 

.
😊ไร่เทพ คุณภาพขั้นเทพ
สารที่เป็นส่วนผสมสำคัญ
1. สารฮิวมิค (Humus หรือ Humic Substance )
2. ฟูลวิค แอซิด (Fulvic Acid)
3. อะมิโนจากสาหร่ายทะเล
4. อะมิโนจากเลือดปลา
5. สารพิเศษจากอิสราเอล
6. สารในกลุ่มอาหารพืชอื่นๆ
😊ไร่เทพ คุณภาพขั้นเทพ
สอบถามข้อมูล-เทคนิคการปลูกพืชชนิดต่างๆ เรามีทีมส่งเสริมการขายที่เชี่ยวชาญ พร้อมตอบคำถามเกษตรกรตลอดเวลา
🌾👀🌾🍅🍆🌽🍄🌰 🍇🍈🍉🍊🍋🍌🍍🍎🍏🍐
—————————-
Tel. : 098-280-8200
—————————-

จุลินทรีย์ละลายฟอสเฟต เร่ง ราก ดอก ผล

ฟอสฟอรัสเป็นธาตุอาหารหลักของพืช มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตและการสร้างผลผลิตที่สำคัญ เพราะฟอสฟอรัสเป็นที่พบอยู่ในนิวเคลียสของเซลล์และโครโมโซม เป็นส่วนประกอบของ DNA และ RNA เป็นกุณแจสำคัญในขบวนการหายใจ สังเคราะห์ด้วยแสง เพื่อสร้างแป้ง โปรตีนและไขมัน ฉะนั้น ฟอสฟอรัสมีผลต่อการงอกของราก ของดอก การสร้างหัวและการสุกของผล
.
ดินส่วนมากมีฟอสฟอรัสทั้งรูปแบบอินทรีย์และอนินทรีย์ แต่จะอยู่ในรูปที่พืชไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ จำเป็นต้องถูกปลดปล่อยออกมาก่อน
.
“จุลินทรีย์ละละฟอสเฟต” สามารถละลาย ไตรแคลเซียม อลูมินัม และเหล็กฟอสเฟต เช่นเดียวกับที่สามารถละลายหินฟอสเฟตได้ เป็นผลให้ได้ฟอสฟอรัสในดินที่อยู่ในรูปแบบที่พืชนำไปใช้งานได้
สามารถตามไปอ่าน บทความที่เกี่ยวข้องกับจุลินทรีย์ในดินต่างได้อีก

นอกจากนี้ สามารถตามไปอ่าน หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ “ปุ๋ยชีวภาพและผลิตภัณฑ์ชีวภาพ” ของกรมวิชาการเกษตร เพิ่มเติมได้

โรคพืชยอดฮิตในฤดูฝน

✍โรคราน้ำค้าง
ลักษณะอาการ : ใบจะเป็นจุดละเอียดสีดำอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ด้านใต้ใบ จุดเหล่านี้จะมีราสีขาวอมเทาอ่อน คล้ายผงแป้งขึ้นเป็นกลุ่มๆ กระจายทั่วไป มีแผลเกิดก่อนแล้วลุกลามขึ้นไปยังใบที่อยู่สูงกว่า ใบที่มีเชื้อราขึ้นเป็นกลุ่มกระจายเต็มใบจะมีลักษณะเหลืองและใบจะร่วงหรือแห้ง
การระบาด : ระบาดได้ตั้งแต่ระยะที่เป็นต้นกล้าจนเจริญเติบโตเต็มที่ สร้างความเสียหายมากเพราะทำให้ใบเสีย เจริญเติบโตช้า ทำให้น้ำหนักลดลง เพราะต้องตัดใบที่เป็นโรคทิ้ง
การป้องกันกำจัด : ให้ฉีดพ่นด้วยชีวภัณฑ์ ป้องกันกำจัดเชื้อราไตรโคเดอร์มา สลับกับบีเอส ซึ่งใช้ได้ระยะที่ยังเป็นต้นกล้า – ระยะการเติบโต
✍โรคเน่าคอดิน
ลักษณะอาการ : เกิดเฉพาะในแปลงต้นกล้า เนื่องจากการหว่านเมล็ดที่แน่นทึบ อับลม และต้นเบียดกันมาก เนื้อเยื่อตรงแผลจะเน่าและแห้งไปอย่างรวดเร็ว ถ้าถูกแสงแดดทำให้ต้นกล้าหัก พับ ต้นเหี่ยวแห้งตายในเวลารวดเร็ว
เชื้อแพร่ระบาดได้โดย : เชื้อราติดมากับเมล็ด หรืออยู่ในดิน น้ำ ฝน
การป้องกันกำจัด :
– เตรียมแปลงให้มีการระบายน้ำดี อย่าให้น้ำขังแฉะในแปลง ใช้เมล็ดพันธุ์ดีไม่มีเชื้อจุลินทรีย์ติดมากับเมล็ด และมีความงอกสูง ไม่หว่านเมล็ดแน่นเกินไป
– ก่อนปลูกคลุกเมล็ดด้วยสารชีวภัณฑ์ อัตรา 100 กรัม : เมล็ด 1 กิโลกรัม
– สำหรับแปลงปลูกให้ปรับดินด้วยปูนขาว และปุ๋ยอินทรีย์ให้มาก ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา ผสมกับดินปลูก
– ตรวจแปลงสม่ำเสมอพบต้นเป็นโรค รีบขุดเอาดินและต้นเป็นโรคทำลายหรือฝังลึกนอกแปลง
✍โรคราสนิมขาวในผัก
ลักษณะอาการ : มีจุดสีเหลืองซีดด้านบนของใบ ด้านใต้ใบตรงกันข้าม จะเป็นตุ่มนูนเล็ก ๆ ขนาด 1-2 มิลลิเมตร อาจพบลักษณะปุ่มปม หรือบวมพองโตขึ้นในส่วนของก้านใบและลำต้น
การป้องกันกำจัด :
– หากเกิดโรคระบาด ให้ฉีดพ่นให้ใบด้วยไตรโคเดอร์มา สลับ กับ บีเอส อัตราที่แนะนำ หากมีฝนตกซุกให้ผสมสารจับใบ
– คลุกเมล็ดก่อนปลูกด้วยไตรโดเตอร์มา และเลือกใช้เมล็ดจากแหล่งที่ไม่มีโรคระบาดมาก่อน
– ดูแลระบบการให้น้ำในแปลงปลูก อย่าให้ขึ้นแฉะจนเกินไป
✍โรคใบจุด
ลักษณะอาการ : ในตันกล้าจะพบจุดแผลเล็กๆ สีน้ำตาลที่บริเวณใบโคนต้น ต้นโตแล้วใบมีแผลวงกลม สีน้ำตาลซ้อนกันหลายชั้น เนื้อเยื่อรอบๆ แผลเปลี่ยนเป็นสีเหลือง แผลมีทั้งเล็กและใหญ่ บนแผลมักจะมีเชื้อราชั้นบางๆ เป็นผงสีดำ ผักบางชนิดและบางพันธุ์มีแผลที่ก้านใบเล็ก เป็นจุดลีน้ำตาลปนดำ เนื้อเยื่อบุ๋มลงไปเล็กน้อย
การแพร่กระจาย : สปอร์ของเชื้อสาเหตุ สามารถปลิวไปตามน้ำ ลม แมลง สัตว์ เครื่องมือเกษตรกร มนุษย์ และสามารถติดไปกับเมล็ดพันธุ์ได้ หรืออาศัยอยู่กับวัชพืชในแปลง
สภาพที่เหมาะต่อการเกิดโรค: ความชื้นสูง สภาพอากาศร้อนชื้น โดยเฉพาะในฤดูฝน อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 25-30 องศาเซลเซียส
การป้องกันกำจัด :
– ทำลายต้นเป็นโรคโดยการขุดถอนไปเผาทิ้ง
– ปลูกพืชหมุนเวียน
– ไม่ควรให้น้ำแบบฉีดพ่นฝอย
– แช่เมล็ดในน้ำอุ่น 50 องศาเซลเซียส 30 นาที (ยกเว้นกะหล่ำดอก)
– คลุกมล็ดด้วยชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดเชื้อราไตรโคเดอร์มา
– ฉีดพ่นสารชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดเชื้อราไตรโดเดอร์มา ทุกๆ 7 วันจะช่วยป้องกันกำจัดเชื้อรานี้
✍โรคเหี่ยว
ลักษณะอาการ : เกิดอาการเหี่ยวอย่างช้าๆ ใบที่อยู่โคนต้นเปลี่ยนเป็นสีหลืองและร่วง ต่อมาใบจะเหี่ยวทั้งต้น เมื่อผ่าสำต้นบริเวณเหนือระดับดินตามยาวจะพบว่า ท่อน้ำ ท่ออาหารเป็นสีน้ำตาล การผิดปกติของท่อน้ำ ท่ออาหารนี้จะลงไปถึงส่วนรากด้วย พริกที่เป็นโรคนี้ขั้นสุดท้ายจะแห้งตาย
การระบาด : การเกิดโรคนี้มักจะเกิดเป็นหย่อมๆ ถ้าสภาพอากศมีอุณหภูมิสูง และดินมีความขึ้นสูง จะทำให้โรคนี้ระบาดได้ดี
กรป้องกันกำจัด : การป้องกันกำจัดแบบอินทรีย์ ถ้าพบโรคในแปลง ต้องถอนต้นที่เป็นโรคมาทำลายก่อนปลูกพริกควรปรับสภาพคืนด้วยปูนขาว และปุ๋ยคอก
ขอบคุณข้อมูลจาก สถานีวิทยุกระจายเสียงเพื่อการเกษตร
😊ไร่เทพ คุณภาพขั้นเทพ
สารที่เป็นส่วนผสมสำคัญ
1. สารฮิวมิค (Humus หรือ Humic Substance )
2. ฟูลวิค แอซิด (Fulvic Acid)
3. อะมิโนจากสาหร่ายทะเล
4. อะมิโนจากเลือดปลา
5. สารพิเศษจากอิสราเอล
6. สารในกลุ่มอาหารพืชอื่นๆ
😊ไร่เทพ คุณภาพขั้นเทพ
สอบถามข้อมูล-เทคนิคการปลูกพืชชนิดต่างๆ เรามีทีมส่งเสริมการขายที่เชี่ยวชาญ พร้อมตอบคำถามเกษตรกรตลอดเวลา
🌾👀🌾🍅🍆🌽🍄🌰 🍇🍈🍉🍊🍋🍌🍍🍎🍏🍐
—————————-
Tel. : 098-280-8200
—————————-

การปลููก และดูแลมันสำปะหลังแบบขั้นเทพ

การปลูกและการดูแลมันสำปะหลังแบบขั้นเทพ

การปรับปรุงดินให้เหมาะสมต่อการผลผลิตมันสำปะหลัง

หลักสำคัญก็คือการเพิ่มอินทรียวัตถุและธาตุอาหารให้กับดินเป็นการสร้างให้ดินมีความสามารถในการอุ้มน้ำได้ดี

เช่นการ การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ หรือการฉีดผลิตภัณฑ์ไร่เทพ ลงดินเพื่อเพิ่มสารอาหารในดิน

 

 

การเลือกพันธุ์มันสำปะหลัง

หลักสำคัญก็คือ ดินที่ใช้ปลูกมันสำปะหลัง โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ดินร่วนเหนียวถือได้ว่าดินดี ควรปลูกพันธุ์ระยอง 5 และ ระยอง 72 และดินร่วนทรายถือได้ว่าเป็นดินปานกลาง ควรปลูกพันธุ์ เกษตรศาสตร์ 50 ระยอง 90 ห้วยบ่ง 60 ระยอง 9 และพันธุ์ยอดฮิต แขกดำ ส่วนพันธุ์ระยอง 7 เหมาะทั้งดินร่วนเหนียวและดินร่วนทรำยที่มีความชื้นของดินดีตลอดช่วงของการเจริบเติบโต แต่ไม่เหมาะกับสภาพดินที่แห้งแล้ง

การเตรียมดิน

ก่อนปลูกควรไถและพรวนอย่ำงน้อย 2-3 ครั้ง ลึก 20-30 เซนติเมตร เพื่อกลบเศษซากพืชจากฤดูก่อน และ

ทำลำยวัชพืชต่ำง ๆ ให้ลดจำนวนลง การไถให้ใช้ผาล 3 ติดทายรถแทรกเตอร์ 1 ครั้ง ตามด้วยผาล 7 อีก 1 ครั้ง จะได้

ผลผลิตมันสำปะหลังสูงสุด ถ้าพื้นที่มีความลาดชันต้องไถพรวนตามแนวขวาง เพื่อป้องกันการชะล้ำงของดิน และถ้ำดิน

ระบายน้ำไม่ดีต้องยกร่องปลูก ถ้าเป็นดินร่วนเหนียวควรไถแปรครั้งที่สองเพื่อย่อยดินด้วยผาล 7 และตามด้วยการยกร่องพร้อมปลูก ส่วนดินทรายไม่จำเป็นต้องไถแปรครั้งที่สองด้วยผาล 7 สามารถยกร่องพร้อมปลูกได้เลย

 

การเตรียมท่อนพันธุ์

การปลูกมันสำปะหลังนิยมใช้ท่อนพันธุ์ โดยตัดลำต้นให้เป็นท่อนยาว 15-20 ซม. เลือกใช้ต้นพันธุ์ที่แก่มีอายุตั้งแต่ 10เดือนขึ้นไป แช่ท่อนพันธุ์ในอาหารเสริมพืชไร่เทพ โดยผสม 1 ซอง ต่อน้ำ 100 ลิตร โดยแช่ประมาณ 3-5 ชั่วโมงหรือ 1คืนแล้วนำไปปลูกในแปลง

การปลูก

หลักสำคัญก็คือ ควรเลือกพันธุ์ที่ใช้ปลูกที่มีอายุ 10-12 เดือน จะให้ความงอกดีที่สุด เลือกต้นพันธุ์ที่แข็งแรง มีตำถี่ ขนาดโตพอสมควร ต้องตัดท่อนปลูกด้วยมีดที่คม เพื่อมิให้ท่อนปลูกช้ำ ยาวไม่ต่ำกว่า 20 ซม. ปลูกปักตรงให้ลึก 2 ใน 3 ของ

ความยาวท่อนปลูก ในดินร่วนเหนียว ควรใช้ระยะแถวกว้าง 1.20 เมตร ระยะปลูกตั้งแต่ 0.50-1.00 ม. และในดินร่วนทราย ควรใช้ระยะแถวแคบ 0.80 เมตร ระยะปลูกตั้งแต่ 0.50-0.80 เมตร การปลูกมันสำปะหลังทำได้โดยนำท่อนพันธุ์ที่

เตรียมไว้ ควรปักลงในดินให้ลึกประมาณ 2/3 ของท่อนพันธุ์ กำรดูแลรักษาระวังอย่าปักส่วนยอดลงดินเพราะตาจะไม่งอก  การปักตรง 90 องศา และปักเฉียง 45 องศากับพื้นดินให้ผลผลิตไม่แตกต่างกัน มันสำปะหลังจะงอกเร็ว และสะดวกต่อ

การกำจัดวัชพืช, การปลูกซ่อม และลงหัวด้านเดียวเป็นกลุ่มง่ายต่อกำรเก็บเกี่ยวให้ผลผลิตสูงกว่าการปลูกแบบฝัง 10-15% การปลูกที่ได้ผลผลิตสูงก็คือ กำรปักตรง 90 องศา และเทคนิคการเฉือนตาข้างของท่อนปลูกออกเพื่อให้เกิดหัว

เพิ่มขึ้นอย่ากระทำโดยเด็ดขาด เพราะรากฝอยที่เกิดจากรอยแผลที่โคนของท่อนปลูกก็มีมากเพียงพอที่จะพัฒนาเป็นหัวสะสมอาหารได้แล้ว และการเฉือนอาจทำให้เกิดเชื้อราที่ท่อนพันธุ์ได้

การใส่ปุ๋ย

มันสำปะหลังเป็นพืชที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงเมื่อเทียบกับพืชไร่อื่น ๆ ดังนั้นจึงต้องการธาตุอาหารจากดินเป็นจำนวนมาก เมื่อมีการปลูกมันสำปะหลังติดต่อกันหลายปี ธาตุอาหารในดินย่อมลดลงตามลำดับ ส่งผลให้ผลผลิตของมันสำปะหลังลดลง

ตำมไปด้วย ดังนั้นกำรปลูกมันสำปะหลังจึงจำเป็นต้องใส่ปุ๋ยเพื่อเพิ่มผลผลิตและรักษาระดับความอุดมสมบูรณ์ลดลงตามไปด้วย ดังนั้นควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ไซโต ในอัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ แบ่งใส่ 2 ครั้ง ๆ ละเท่า ๆ กัน ในครั้งแรกให้ใส่หลังจาก

ปลูกมันสำปะหลังแล้ว 1 เดือน ครั้งที่ 2 ใส่เมื่อมันสำปะหลังมีอายุได้ 3 เดือน นอกจากนี้ควรเสริมธาตุอาหารให้พืชด้วยการฉีดพ่นอาหารเสริมไร่เทพทางใบ ในอัตราส่วน ไร่เทพ 1ซอง ต่อน้ำ 100 ลิตร ฉีดพ่นทุก 10-15 วัน เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของมันสำปะหลังได้ดีขึ้น (ข้อแนะนำก่อนฉีดพ่นอาหารเสริมไร่เทพทางใบ ควรกำจัดวัชพืชก่อน) สามารถฉีดได้เรื่อยจะครบอายุการเก็บเกี่ยว

การควบคุมวัชพืช

ในระยะแรกของการปลูกมันสำปะหลังจะมีวัชพืชขึ้นรบกวนมาก และระยะเวลาวิกฤตในการกำจัดวัชพืชจะอยู่ที่ 2-3 เดือนแรก เนื่องจากเป็นระยะเวลาที่มันสำปะหลังกำลังลงหัวและจะกำจัดวัชพืชไม่ทัน ให้ใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชในการกำจัด

วัชพืชโดยการฉีดพ่นให้ทั่วแปลง หลังจำก 4 เดือน ไปแล้วมันสำปะหลังจะไม่มีการสร้างหัวเพิ่ม แต่จะขยายขนาดหัวให้ใหญ่ขึ้น ถ้ามีวัชพืชขึ้นรบกวนในช่วงนี้มากจะทำให้ผลผลิตลดลง การเริ่มกำจัดวัชพืชครั้งแรกต้องรีบกระท ำ อาจเริ่มที่ 15

วันหลังจากปลูก ยิ่งล่ำช้ำออกไปผลผลิตจะยิ่งลดลง ควรกำจัดวัชพืชครั้งแรกให้เสร็จภายใน 1 เดือน หลังจากปลูกและอาจต้องกำจัดวัชพืชอีก 2-3 ครั้ง จนกว่าพุ่มของใบมันสำปะหลังจะชิดกัน หรืออีกวิธีหนึ่งที่สามารถป้องกันวัชพืชได้คือการ

ฉีดสารเคมีคุมเมล็ดวัชพืชหลังจากการปลูกมันสำปะหลัง 1-2 วัน เป็นการคลุมดินป้องกันวัชพืชได้ในช่วงแรก ๆ หลังจากใส่ปุ๋ยครบและกำจัดวัชพืชได้ดังกล่าวแล้วก็เพียงแต่รอครบเวลา 12 เดือน หลังปลูกก็จะได้ผลผลิตมันสำปะหลังไม่ต่ำ

กว่า 7-10 ตันต่อไร่แน่นอน

 

.
😊ไร่เทพ คุณภาพขั้นเทพ
สารที่เป็นส่วนผสมสำคัญ
1. สารฮิวมิค (Humus หรือ Humic Substance )
2. ฟูลวิค แอซิด (Fulvic Acid)
3. อะมิโนจากสาหร่ายทะเล
4. อะมิโนจากเลือดปลา
5. สารพิเศษจากอิสราเอล
6. สารในกลุ่มอาหารพืชอื่นๆ
😊ไร่เทพ คุณภาพขั้นเทพ
สอบถามข้อมูล-เทคนิคการปลูกพืชชนิดต่างๆ เรามีทีมส่งเสริมการขายที่เชี่ยวชาญ พร้อมตอบคำถามเกษตรกรตลอดเวลา
🌾👀🌾🍅🍆🌽🍄🌰 🍇🍈🍉🍊🍋🍌🍍🍎🍏🍐
—————————-
Tel. : 098-280-8200
—————————-

คิดวิธีการที่ทันสมัย ในการทำการเพาะปลูก

คุณต้องการจะอัพเกรดหรือซื้อเครื่องจักรทางการเกษตรใหม่ Continue reading

3 ดอกไม้ ทางเลือกสื่อเลิฟ

หากจะกล่าวดอกไม้คือตัวแทนความรักก็คงไม่ผิด Continue reading

ปลูกกล้วย สร้างรายได้ ขั้นเทพ

“กล้วย” อยู่คู่กับชีวิตของคนไทย และถือเป็นพืช Continue reading

12 สายพันธ์ุข้าวในประเทศไทย

ข้าว ของไทยเป็นพืชอาหารประจำชาติที่มีตำนาน Continue reading

พืช 7 ชนิดที่เหล่าทาสแมวควรมีไว้ติดบ้าน

ทาสแมวไม่ควรพลาด!! โดยเหล่าทาสแมวต้องเข้าใจ Continue reading

ต้นไม้มงคล ช่วยลดฝุ่น PM 2.5

ใกล้จะถึงเทศกาลตรุษจีนแล้วในอีกไม่กี่วันนี้ วันตรุษจีนที่เป็นวันขึ้นปีใหม่ของจีน ซึ่งในประเทศไทยมีพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีนอยู่เป็นจำนวนมาก จึงถือได้ว่าเป็นว่าสำคัญอีกวันหนึ่งของไทย โดยปีนี้เป็นปีชวดแต่เราจะต้องไม่ชวดกัน มาเสริมโชคชะตา เพิ่มโชค ลาภ ด้วย 5 ไม้มงคล ต้อนรับปีหนูทองกันเถอะ ได้ความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิตแถมยังช่วยลดฝุ่น PM 2.5 อีกด้วย จัดว่าได้ทั้งดวงดีขึ้นและสุขภาพดีขึ้นด้วย

 

1.ต้นวาสนา หรือวาสนาอธิษฐาน

ต้นวาสนา หรือวาสนาอธิษฐาน แค่ได้ยินชื่อก็รู้สึกถึงความเป็นมงคลแล้ว เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ใบค่อนข้างหนาสีเขียวหรือลายสีเหลืองหรือสีขาวอมเขียวสลับตามยาว ดอกเป็นช่อสีขาวถึงสีชมพู มีกลิ่นหอม ช่วยดูดซับสารพิษในอากาศ โดยเชื่อว่าบ้านที่ปลูกต้นวาสนานั้น จะทำให้คนในบ้านนั้นมีความสุข สมหวังในชีวิต ถือได้ว่าเป็นต้นไม้แห่งโชคลาภ และการเสี่ยงทายด้วย ยิ่งบ้านไหนที่ต้นวาสนาออกดอกสวยงาม ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง เชื่อว่าคนในบ้านจะได้รับโชคลาภ คิดสิ่งใดก็จะสมความปรารถนา ควรปลูกในวันอังคาร ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ โดยผู้หญิงเป็นคนปลูกจะดีที่สุด

 

2.ว่านเศรษฐีเรือนใน

ว่านเศรษฐีเรือนใน เป็นไม้กอขนาดเล็ก มีหัวใต้ดิน มีใบสีเขียวแถบสีขาวอยู่ตรงกลางใบ มีต้นอ่อนเป็นกระจุกอยู่ที่ตรงปลายกิ่ง ลักษณะคล้ายแมลงมุม เหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้แขวน สามารถดูดสารพิษบางชนิดได้และดูแลง่าย โดยว่านเศรษฐีเรือนในนี้มีคุณทางเมตตามหานิยม โดยเชื่อว่าจะช่วยในเรื่องด้านการเสี่ยงทายและมีอนุภาพในการป้องกันภัยอันตราย อีกทั้งจะช่วยเสริมให้ร่ำรวยยิ่งขึ้นไปอีก แนะนำท่านที่ชอบเสี่ยงดวงเสี่ยงโชคห้ามพลาด

 

3.มรกตแดง

มรกตแดง เป็นไม้เลื้อยที่ถือว่าเป็นพันธ์ไม้ที่สามารถดูดสารพิษได้ดีที่สุด มีลำต้นลักษณะเป็นข้อ คล้ายพลูด่าง ใบมีขนาดใหญ่ สีเขียวอมแดง และมีความมัน ออกดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดมีกาบ ชอบความชื้นสูง ปลูกและดูแลง่าย ไม่ชอบแสงแดดจัดเหมาะสำหรับปลูกภายในอาคาร โดยเชื่อว่ามรกตแดงจะช่วยเสริมเสน่ห์ ให้มีคนรักคนเมตตา และให้ความเคารพนับถือ จัดเป็นไม้ที่มีความหมายเป็นสิริมงคลอีกชนิดหนึ่ง

 

4.พลูด่าง

พลูด่างเป็นไม้เลื้อยที่มีใบคล้ายรูปหัวใจโดยส่วนปลายใบจะแหลม สีเขียว มีรอยด่างสีเหลืองอยู่ที่บริเวณใบทำให้มีความสวยงาม ลำต้นจะมีรากงอกออกมาตามข้อ มีสรรพคุณในการช่วยดูดสารพิษทำให้อาการบริเวณนั้นมความบริสุทธิมากขึ้น โดยมีความเชื่อว่าเมื่อปลูกพลูด่างที่ไหนจะทำให้ที่นั่นอยู่เย็นเป็นสุข ไม่มีความทุกข์ร้อน และคนที่ปลูกพลูด่างจะทำให้มีแต่คนรักใคร่ แถมยังช่วยเสริมบารมีคุ้มครองให้กับผู้ปลูกด้วย

 

5.ต้นออมเงินออมทอง

ต้นออมเงินออมทอง จัดเป็นไม้ที่มีชื่อมงคล เป็นไม้เลื้อย ลำต้นเป็นเถา มีข้อและแตกรากออกมาจากลำต้น ผิวลำต้นเรียบ ใบสีเขียว ปลายใบจะมีความเรียวและแหลมกลางใบ ซึ่งเชื่อกันว่าบ้านที่ปลูกต้นออมเงินออมทองนี้ จะมีเงินมีทองมาก คนในบ้านรู้จักใช้เงินอย่างประหยัด เงินทองไม่รั่วไหลไปไหน ปลูกแล้วรวยแน่นอน

 

ปีหนูทองปีนี้พวกเราจะต้องปัง ไม่พังแน่นอน!! เรามาเสริมดวงเสริมโชคชะตา เพื่อเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิตกันเถอะ สิ่งที่ดีจะได้เกิดกับเราตลอดปี ทั้งนี้ทั้งนั้นทั้งหมดนี้ก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่ปลูกไว้ก็ไม่ได้เสียหายอะไรเพราะอย่างน้อยไม้มงคลเหล่านี้ก็สามารถช่วยดูดซับสารพิษในอากาศทำให้อากาศสะอาดบริสุทธิ์มากขึ้นส่งผลให้ท่านที่ปลูกมีสุขภาพกายที่ดี อีกทั้งยังได้ความสบายใจของความเชื่อในไม้มงคลทำให้มีสุขภาพจิตที่ดีอีกด้วยนะคะ

.
😊ไร่เทพ คุณภาพขั้นเทพ
สารที่เป็นส่วนผสมสำคัญ
1. สารฮิวมิค (Humus หรือ Humic Substance )
2. ฟูลวิค แอซิด (Fulvic Acid)
3. อะมิโนจากสาหร่ายทะเล
4. อะมิโนจากเลือดปลา
5. สารพิเศษจากอิสราเอล
6. สารในกลุ่มอาหารพืชอื่นๆ
😊ไร่เทพ คุณภาพขั้นเทพ
สอบถามข้อมูล-เทคนิคการปลูกพืชชนิดต่างๆ เรามีทีมส่งเสริมการขายที่เชี่ยวชาญ พร้อมตอบคำถามเกษตรกรตลอดเวลา
🌾👀🌾🍅🍆🌽🍄🌰 🍇🍈🍉🍊🍋🍌🍍🍎🍏🍐
—————————-
Tel. : 098-280-8200
—————————-

ต้นทุนน้อย!!..ผลผลิตเยี่ยม!!

ต้นทุนน้อย..ผลผลิตเยี่ยม..พืชชนิดไหนๆ Continue reading

คืนชีวิตให้แก่ดินด้วยการปลูก…ปอเทือง

หากพี่ๆ ที่ปลูกพืชไร่ เช่น ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง อ้อย หากปลูกมานาน ดินที่เราใช้ย่อมเสื่อมโทรมเป็นธรรมดา ทั้งจากปุ๋ยเคมี และสารเคมีต่าง ๆ วันนี้ไร่เทพ ขอชวนเพื่อนๆ พี่ๆ มาใช้ประโยชน์จากปอเทือง ซึ่งเป็นพืชตระกูลถั่ว ให้ฟื้นฟูสภาพดิน สำหรับรอบปลูกต่อไปกันนะครับ ปอเทืองเจริญเติบโตได้ดีในสภาพพื้นที่ดอน ปลูกให้เป็นปุ๋ยพืชสด หากไถกลบจะมีประโยชน์เพิ่มปริมาณธาตุไนโตรเจนในปริมาณสูง

การปลูกปอเทืองในนาข้าว มี 2 วิธี

  • การปลูกโดยการเตรียมดิน

ทำได้โดยใช้รถไถขณะดินมีความชื้นอยู่ แล้วหว่านเมล็ดปอเทือง จะคราดกลบหรือไม่ก็ได้ ถ้าคราดกลบจะงอกได้สม่ำเสมอและเจริญเติบโตดี หรือ ปลูกโรยเป็นแถว ระหว่างแถว 80 – 100 ซม. หรือปลูกเป็นหลุม ใช้ระยะปลูก 50×100 หลุม ๆ ละ 1–3 ต้น

  • ปลูกโดยไม่ต้องเตรียมดิน

ซึ่งทำโดยก่อนการเก็บเกี่ยวข้าว ใช้เมล็ดพันธุ์ปอเทืองหว่าน 1–2 วัน จึงใช้รถเก็บเกี่ยวข้าว วิธีนี้จะสูญเสียเมล็ดพันธุ์มากจากการกลบของฟางข้าว หรือหลังการเก็บเกี่ยวข้าวใช้เมล็ดปอเทืองหว่านตามร่องรถเกี่ยวข้าวแล้วกระจายฟางข้าวให้ทั่วแปลง หรือจะเก็บฟางข้าวไว้เลี้ยงสัตว์ก็ได้ วิธีนี้จะได้ใช้พื้นที่มากขึ้น

  • อัตราเมล็ดที่ใช้ปลูก :

การปลูกแบบหว่านเพื่อไถกลบใช้เมล็ดประมาณ 3–5 กิโลกรัม/ไร่ ปลูกเป็นหลุมใช้เมล็ด 2–4 กิโลกรัม/ไร่

  • การดูแลรักษา :

หลังการหว่านเมล็ดพันธุ์ปอเทืองแล้วประมาณ 3–5 วัน จะงอกโดยอาศัยความชื้นที่มีอยู่ในดิน ไม่ต้องให้น้ำวัชพืชจะทำการถอนเพื่อจัดระยะปลูกเมื่ออายุ 2 – 3 สัปดาห์ ต้องพรวนดินกลบโค่นและกำจัดวัชพืช ใช้ไร่เทพ 1 ซอง + ปุ๋ยอินทรีย์ 1/2ลูก ต่อไร่ พ่นยากำจัดเชื้อรา และแมลงศัตรูพืชเมื่ออายุ 50–60 วัน ดอกเริ่มบานจากข้างล่างก่อน หลังดอกร่วงโรยจะติดฝักจากข้างล่างก่อนเช่นเดียวกัน ฝักจะแก่เก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุ 120–130 วัน

ขอขอบคุณ : กองวิจัยและพัฒนาข้าว กรมการข้าว

ภาพประกอบ : Freepik

.
😊ไร่เทพ คุณภาพขั้นเทพ
สารที่เป็นส่วนผสมสำคัญ
1. สารฮิวมิค (Humus หรือ Humic Substance )
2. ฟูลวิค แอซิด (Fulvic Acid)
3. อะมิโนจากสาหร่ายทะเล
4. อะมิโนจากเลือดปลา
5. สารพิเศษจากอิสราเอล
6. สารในกลุ่มอาหารพืชอื่นๆ
😊ไร่เทพ คุณภาพขั้นเทพ
สอบถามข้อมูล-เทคนิคการปลูกพืชชนิดต่างๆ เรามีทีมส่งเสริมการขายที่เชี่ยวชาญ พร้อมตอบคำถามเกษตรกรตลอดเวลา
🌾👀🌾🍅🍆🌽🍄🌰 🍇🍈🍉🍊🍋🍌🍍🍎🍏🍐
—————————-
Tel. : 098-280-8200
—————————-

 


วิกฤตและการเพิ่มผลผลิตที่เกษตรกรไทยต้องรับมือ

“ ไร่เทพ ”มีข่าวมาบอก!!…วิกฤตมันสำปะหลัง Continue reading

ทำทุกวันให้เป็นเรื่องกล้วย กล้วย

“ กล้วย” ไม้ดอก ออกหน่อและผล จนไปถึงราก Continue reading

อาหารเสริมพืช ขั้นเทพ!

ลดต้นทุน…ห่างไกลโรค…ได้ผลผลิตมากขึ้น! ที่ชาวเกษตรกรยุคใหม่เลือก “ สุดยอดอาหารเสริมขั้นเทพ! “

สำหรับชาวเกษตรกร ที่อยากได้กำไรเพิ่มขึ้น ได้ผลผลิตที่มากขึ้น ฉีดแล้วกลิ่นไม่เหม็น ไม่มีสารเคมี ห่างไกลโรค เพื่อสุขภาพที่ดีด้วยนวัตกรรมนาโนเทคโนโลยี สามารถใส่ได้กับพืชทุกชนิด ต้นโตเร็ว รากแข็งแรง ปรับหน้าดิน ตัดปัญหาเรื่องแมลงรบกวน สภาพแวดล้อมไหนๆ ไร่เทพก็เอาอยู่.

    • เทคนิคไร่เทพ
    • ไร่เทพเป็นสารอาหารที่ให้ทางใบ เหมาะสำหรับฉีดพ่นทางใบให้แก่พืช เพื่อเพิ่มผลผลิต ลดการใช้ปุ๋ยมากกว่า 70% เป็นอินทรีย์วัตถุ มีกลิ่นที่แมลงไม่ชอบ และที่สำคัญเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
    • การแพร่ของไร่เทพจะมีประสิทธิภาพสูงสุดในช่วงเวลาที่มีแสงแดด แต่ควรฉีดพ่นไร่เทพในช่วงที่มีแสงแดดอ่อนๆ เช่น ช่วงเช้า ช่วงเย็น และ หลังฝนตก หากเป็นช่วงที่แดดจัดมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการไหม้ของใบ ส่วนในเวลากลาคืนนั้นพืชก็สามารถดูดซึมไร่เทพได้เพียงแต่ประสิทธิภาพจะลดลงเป็นอย่างมาก
    • ควรผสมน้ำกับไร่เทพให้เข้ากันดีก่อนนำมาฉีดพ่นให้กับพืชและไม่ควรผสมไร่เทพในปริมาณที่เข้มข้นเกินกว่าที่แนะนำ
.
😊ไร่เทพ คุณภาพขั้นเทพ
สารที่เป็นส่วนผสมสำคัญ
1. สารฮิวมิค (Humus หรือ Humic Substance )
2. ฟูลวิค แอซิด (Fulvic Acid)
3. อะมิโนจากสาหร่ายทะเล
4. อะมิโนจากเลือดปลา
5. สารพิเศษจากอิสราเอล
6. สารในกลุ่มอาหารพืชอื่นๆ
😊ไร่เทพ คุณภาพขั้นเทพ
สอบถามข้อมูล-เทคนิคการปลูกพืชชนิดต่างๆ เรามีทีมส่งเสริมการขายที่เชี่ยวชาญ พร้อมตอบคำถามเกษตรกรตลอดเวลา
🌾👀🌾🍅🍆🌽🍄🌰 🍇🍈🍉🍊🍋🍌🍍🍎🍏🍐
—————————-
Tel. : 098-280-8200
—————————-

สุขภาพดี..หนุนรายได้ ด้วยข้าวเหนียวดำ

(ข้าวก่ำ หรือข้าวแดงก่ำ) พันธุ์ข้าวก่ำพื้นเมืองมีมากกว่า 42 สายพันธุกรรม แต่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองในตอนนี้มีแค่บางพันธุ์เท่านั้น อาทิเช่น พันธุ์ก่ำดอยสะเก็ด พันธุ์ก่ำอมก๋อย และพันธุ์ก่ำลืมผัวที่ได้การรับรองล่าสุด เป็นข้าวที่มีเมล็ดเป็นสีแดงก่ำมีคุณค่าทางโภชนาการ มีคุณค่าทางสมุนไพรเป็นอย่างมาก และยังทำเป็นยารักษาโรค  นับว่าเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาว “ ล้านนา “ ในทั้งด้านเกษตร และรวมถึงในด้านทางการแพทย์ ด้วยคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอความแก่ เพิ่มภูมิคุ้มกัน ป้องกันการเกิดมะเร็ง ลดคอเลสเตอลรอล ความดันโลหิต โรคหัวใจ และความจำเสื่อม เหมาะสำหรับทุกเพศทุกไว… กินง่าย!!…ได้สุขภาพดี!!

 

————————————————————————————–

**ข้อมูลวิจัย ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ( มช.)

ผู้สนใจ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ หน่วยวิจัยข้าวก่ำ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โทร. (053) 944-045

อ้างอิง : https://boonpuerch.com/knowledge57/

.
😊ไร่เทพ คุณภาพขั้นเทพ
สารที่เป็นส่วนผสมสำคัญ
1. สารฮิวมิค (Humus หรือ Humic Substance )
2. ฟูลวิค แอซิด (Fulvic Acid)
3. อะมิโนจากสาหร่ายทะเล
4. อะมิโนจากเลือดปลา
5. สารพิเศษจากอิสราเอล
6. สารในกลุ่มอาหารพืชอื่นๆ
😊ไร่เทพ คุณภาพขั้นเทพ
สอบถามข้อมูล-เทคนิคการปลูกพืชชนิดต่างๆ เรามีทีมส่งเสริมการขายที่เชี่ยวชาญ พร้อมตอบคำถามเกษตรกรตลอดเวลา
🌾👀🌾🍅🍆🌽🍄🌰 🍇🍈🍉🍊🍋🍌🍍🍎🍏🍐
—————————-
Tel. : 098-280-8200
—————————-