Tag Archives: การปรับปรุงดิน

คำเตือน! หนาว ร้อน แล้ง …เตรียมพร้อมรับมือ

การปลูกข้าวหลังน้ำลดเป็นช่วงปลายฤดูฝนและฤดูหนาว จะต้องพิจารณาเรื่องอากาศหนาวด้วย เพราะหากข้าวกระทบต่ออากาศหนาวเย็น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของข้าว โดยเฉพาะหากอุณหภูมิลดลงถึง 16 °C ในช่วงที่ข้าวออกรวงจะทำให้เกิดปัญหาและทำให้ผลผลิตของข้าวอาจจะลดลงได้ โดยปัญหาที่มากับอากาศหนาวคือจะทำให้รวงโผล่ไม่พ้นกาบใบ ปลายรวงในส่วนที่เหนือกาบใบธงจะตั้ง และไม่โน้มรวง ทำให้เมล็ดจะลีบบางเมล็ดจนถึงเกือบทั้งหมดรวง สาเหตุที่เมล็ดลีบเพราะข้าวไม่ผสมเกสร และอุณหภูมิลดลงมากและต่อเนื่องจะทำให้ระบบการเจริญเติบโตของข้าวหยุดชะงัก กระบวนการในเซลล์พืชจะทำงานผิดปกติและรากจะไม่ดูดซึมธาตุอาหาร หรือที่เรียกว่า ข้าวไม่กินปุ๋ย เมื่อข้าวออกดอกเกสรจะผสมไม่ติดหรือเมล็ดเป็นหมัน ผลผลิตต่ำมากจนถึงไม่ได้ผลผลิตเลย

แนะนำสำหรับการปลูกข้าวหลังน้ำลด

  1. การวิเคราะห์ดิน ควรมีการวิเคราะห์ตัวอย่างดินในนาก่อนปลูก เพราะพื้นที่นาที่ถูกน้ำท่วมอาจมีความอุดมสมบูรณ์ของธาตุอาหารทั้งที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง การวิเคราะห์ดินจะสามารถทราบความต้องการปุ๋ยที่แท้จริงของข้าวในแปลงนั้นๆ
  2. พันธุ์ข้าว ต้องใช้พันธุ์ข้าวชนิดไม่ไวต่อช่วงแสง อายุเก็บเกี่ยวสั้นและทนทานต่อสภาพอากาศหนาวเย็นได้ดี

3.วันปลูก ช่วงเวลาที่เหมาะสมควรหลีกเลี่ยงวันปลูกที่ระยะข้าวตั้งท้องถึงออกดอกไม่ให้ได้รับผลกระทบต่ออาการหนาวเย็น จากข้อมูลอุณหภูมิย้อนหลังสามารถเริ่มปลูกได้ตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน เป็นต้นไป

  1. การเตรียมดิน การเตรียมดินสำหรับปลูกข้าวหลังน้ำลดในพื้นที่นาน้ำท่วม ใช้วิธีการเตรียมดินสำหรับปลูกข้าว โดยทั่วไป เมื่อน้ำลดจนสามารถที่จะเตรียมดินได้แล้วสามารถเตรียมดินปลูกเหมือนการเตรียมดินตามฤดูกาลปกติ โดยใช้ดินเทพเพื่อปรับสภาพโครงสร้างดินให้เหมาะสมแก่การเพาะปลูก
  2. การปลูกข้าวแบบหว่านน้ำตม หลังน้ำลดควรใช้วิธีหว่านน้ำตม เพราะพันธุ์ข้าวที่ปลูกส่วนใหญ่จะเป็นพันธุ์ข้าวที่มีอายุเก็บเกี่ยวสั้น
  3. การปลูกแบบเป็นยกสลับแห้ง สามารถใช้เป็นแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยยังคงรักษาเสถียรภาพผลผลิตข้าวได้ดี และเป็นวิธีการใช้น้ำแบบประหยัด
  4. การใช้ปัจจัยการผลิต
    7.1 หมั่นดูแลตรวจสอบ ความผิดปกติของต้นข้าวและให้งดการใส่ปุ๋ยในช่วงอากาศหนาวเย็นเนื่องจากข้าวดูดซึมธาตุอาหารได้น้อย
    7.2 หากจะใส่ปุ๋ย ควรเน้นปุ๋ยในกลุ่มฟอตเฟตจะช่วยลดผลกระทบจากอุณหภูมิต่ำได้ เพราะธาตุฟอฟอรัส (P) ช่วยในการสังเคราะห์แสงและช่วยให้ข้าวทนทานต่ออากาศเย็น
    7.3 หากสภาพอากาศหนาวต่อเนื่อง ข้าวมีการเจิญเติบโตไม่ดีอาจส่งผลกระทบต่อการออกรวงและ ผลผลิตควรเพิ่มประสิทธิภาพโดยการฉีดพ่นซิงค์หรือสังกะสี (Zn) เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการสร้างฮอร์โมน NAA เพื่อกระตุ้นให้ข้าวออกรวง ลดการหลุดร่วงของดอกและผล และยังมีส่วนช่วยในกระบวนการสังคราะห์แสง ซึ่งทั้งหมดนี้จะมีอยู่ในปุ๋ยโล่เขียว ไร่เทพ และไร่เทพโกลด์
    7.4 ข้าวที่ปลูกในช่วงอากาศหนาวเย็นมักมีโรคที่เกิดจากเชื้อราเข้าทำลาย เช่น โรคใบจุดสีน้ำตาล และโรคเมล็ดด่าง ควรใช้วิธีป้องกันกำจัดที่มีประสิทธิภาพ เช่น การลดใส่ปุ๋ยและฉีดพ่นสารเคมี
    7.6 เมื่ออุณหภูมิสูงเกิน 20 °C ให้ฉีดพ่นปุ๋ยทางใบเพื่อเร่งฟื้นฟูต้น
  1. การปฏิบัติดูแลรักษา การปฏิบัติดูแลรักษาข้าวที่ปลูกหลังน้ำลด สามารถปฏิบัติดูแลรักษา เหมือนการปลูกข้าวพันธุ์ไม่ไวต่อช่วงแสงในนาชลประทาน ในการป้องกันกำจัดโรค แมลง ศัตรูข้าว วัชพืช ตามความจำเป็น

ลดปัญหาข้าวดีด…ได้ด้วยดินเทพ

ดินเทพ ช่วยลดปัญหาข้าวดีดได้ โดยใช้ในขั้นตอนการตีดิน เพราะดินเทพจะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการย่อยสลายเศษซากอินทรียวัตถุในดิน ทำให้ดินมีธาตุอาหาร ช่วยให้ดินฟู ร่วนซุย และเพิ่มจุลินทรีย์ที่ดีในดิน ช่วยลดความเป็นกรดในดิน และช่วยปรับโครงสร้างดิน  ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์เหมาะสมกับการเพาะปลูก อัตราการใช้ ดินเทพ 1 ขวด ใช้ได้ 10-12 ไร่

 

สาเหตุการแพร่ระบาดของข้าววัชพืช        

การแพร่ระบาดของข้าววัชพืช  มาจากสาเหตุ 5 ประการ คือ

1. ติดมากับเมล็ดพันธุ์ข้าวเนื่องจากเกษตรกรใช้พันธุ์ข้าวจากแหล่งไม่มีคุณภาพ ในรอบ 1 ปี

2. ติดมากับอุปกรณ์ในการทำนา เครื่องมือเตรียมดิน,  เก็บเกี่ยวหรือภาชนะบรรจุข้าว โดยเฉพาะรถเกี่ยวนวดข้าว

3. ติดมากับปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ ที่ผลิตจากวัสดุที่ได้มาจากนาข้าว

4. การแพร่ไปกับน้ำ ในระบบชลประทาน

5. ติดไปกับอาหารเสริมของเป็ดที่ปล่อยในนาข้าว ส่วนใหญ่เป็นข้าวเปลือกที่มีราคาถูก มีสิ่งเจือปน

 

วิธีลดปัญหาข้าวดีด

เลือกใช้เมล็ดพันธุ์มาตรฐาน

1.ทำความสะอาดเครื่องจักร และอุปกรณ์ทุกครั้งก่อน

2.เลือกใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพ ที่ไม่มีส่วนผสมที่มาจากนาข้าว และไม่มีเมล็ดข้าวดีด ข้าวเด้งปลอมปน

3.ปล่อยเป็ดไล่ทุ่งเข้ามากินเมล็ดข้าวดีด ข้าวเด้ง หลังการเก็บเกี่ยวผลผลิต

4.กำจัดด้วยวิธีเขตกรรม เช่น ล่อให้เมล็ดข้าวดีด ข้าวเด้งงอกแล้วไถกลบ 1-3 ครั้ง

5.เปลี่ยนวิธีการปลูกข้าวจากนาหว่าน เป็นนาดำ หรือการปลูกข้าวด้วยวิธีโยนกล้า

6.ใช้ดินเทพ ในขั้นตอนการตีดินเพื่อย่อยสลายเศษซากอินทรียวัตถุในดิน และเพิ่มจุลินทรีย์ที่ดีในดิน 1ขวดใช้ได้ 10-12 ไร่

จบปัญหา..พืชเครียด ด้วยผลิตภัณฑ์ไร่เทพ

หลายเหตุปัจจัยที่ทำให้พืชเกิดความเครียด หันมาใส่ใจพืชของเรากันเถอะ

1.ความเครียดของพืชเกิดจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม พืชจะต้องปรับตัวให้อยู่ได้ ภายใต้สภาวะที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะข้าวที่เป็นพืชอ่อนไหวและอ่อนแอต่อสภาวะที่ไม่เหมาะสมต่ออากาศที่แปรปรวนในปัจจุบัน  ซึ่งสภาวะอุณหภูมิที่ต่ำจะมีผลกระทบต่อทุกระยะการเจริญเติบโตของต้นข้าว ส่งผลให้ต้นข้าวชะงักการเจริญเติบโต ใบข้าวจะซีดเหลือง ไปจนถึงกลายเป็นสีน้ำตาลไหม้

2.ความเครียดของพืชเกิดจากปัญหาของดิน ดินที่เค็มหรือดินเปรี้ยว ดินที่มีกำมะถันสะสมมาก ส่งผลให้พืชชะงักการเจริญเติบโต ใบผิดรูปไม่สมบูรณ์ ทำให้การสังเคราะห์แสงลดลง

3.ความเครียดของพืชเกิดจากการขาดน้ำหรือน้ำมาก ซึ่งพืชจะใช้น้ำในการเจริญเติบโต หากพืชได้รับน้ำมากเกินไปจะทำให้รากเน่า และหากพืชได้รับน้ำน้อยเกินไปจะทำให้ดินแข็งทำให้รากพืชไม่สามารถหาธาตุอาหารในการเจริญเติบโตได้

4.ความเครียดของพืชเกิดจากพืชขาดธาตุอาหาร ดินมีธาตุอาหารน้อยไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต ส่งผลให้พืชไม่โต มีขนาดเล็กไม่สมบูรณ์

5.ความเครียดของพืชเกิดจากสารพิษ ส่งผลให้พืชใบเล็กแคระแกร็น เหี่ยวเฉา หรือร้ายที่สุดพืชอาจจะตายได้

6.ความเครียดของพืชเกิดจากศัตรูพืช ซึ่งหากมีศัตรูพืชเข้าทำลายพืช จะส่งผลให้ผลผลิตลดลง

 

#ไร่เทพ #ดินเทพ #โล่เขียว #เกษตรกร #ข้าว #ชาวนา #พืช #พืชเครียด

ข้าวจมน้ำ 7 วัน แต่ข้าวไม่ตาย

เตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ .. นาข้าวของนายสุชาติ กิ่งนอก ชาวนาบ้านถนนถั่ว หมู่ที่ 10 ตำบลใหม่ อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา ปลูกข้าวพันธุ์ หอมมะลิ 105 เป็นนาข้าวพื้นที่รับน้ำ โดยพื้นที่นี้เป็นพื้นที่ต่ำ น้ำจะไหลมารวมกันที่นี่

ที่ผ่านมาฝนตกอย่างต่อเนื่องนายสุชาติจึงเตรียมรับมือกับน้ำที่มีปริมาณมาก ด้วยการฉีดพ่นผลิตภัณฑ์ตรา ไร่เทพ โดยฉีดพ่นก่อนน้ำจะมาถึงประมาณ 1 สัปดาห์ พอน้ำเข้าท่วมพื้นที่นาทำให้ต้นข้าวที่กำลังโตถูกน้ำท่วมจนเกือบมิดปลายยอดใบ ซึ่งมวลน้ำไม่เพียงแค่ไหลผ่านนาไป แต่ต้นข้าวในนาต้องแช่อยู่ในน้ำยาวนานเป็นสัปดาห์ ในขณะที่แปลงนาข้างๆต้นข้าวเกิดความเสียหายอย่างมาก ในทางกลับกันแปลงนาของนายสุชาติต้นข้าวสามารถเจริญเติบโตได้และให้ผลผลิตได้เหมือนเดิม

ไร่เทพ จะช่วยทำให้ต้นข้าวมีความมีความเสถียรในเซลล์และระบบรากที่ดี ซึ่งจะสังเกตได้ว่ารากจะมีจำนวนมาก ในขณะที่เกิดน้ำท่วมต้นข้าวมีรากบางส่วนที่เสียหายไป แต่เนื่องด้วยรากที่มีจำนวนมากนั้นจึงจะยังมีรากบางส่วนที่ไม่เกิดความเสียหายยังคงสามารถเลี้ยงต้นข้าวให้เจริญเติบโตต่อไปได้จนให้ผลผลิตได้ แต่หากว่าต้นข้าวที่มีรากน้อยถ้าน้ำท่วมรากจะเกิดการเสียหายทั้งหมดส่งผลให้พืชไม่ฟื้นตัวหรืออาจจะตายในที่สุดเพราะรากเน่าเสีย

ดินดีขั้นเทพ ปลูกอะไรก็ขึ้น

ดินที่ดี คือ เป็นดินที่มีความเหมาะสมต่อการปลูกพืช สามารถปลูกพืชได้โดยใช้วิธีการจัดการดูแลตามปกติ ซึ่งจะมีหน้าดินสีดำหนา มีปริมาณอินทรียวัตถุสูง มีธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืชสูง ไม่มีสารที่เป็นพิษต่อพืช มีปฏิกิริยาดินใกล้เป็นกลางมีค่า pH ในช่วง 5.5-7.0 และไม่มีชั้นที่ขัดขวางการเจริญเติบโตของรากพืช

องค์ประกอบดินที่ คือ น้ำ 25% อากาศ 25% อินทรียวัตถุ 5% และแร่ธาตุ 45%
ดินเทพ สารปรับโครงสร้างดิน ที่ช่วยตอบโจทย์ในเรื่องของการเพิ่มจุลินทรีย์ที่ดีดินที่ไปช่วยช่วยสลายซากพืช ซากสัตว์ให้เกิดเป็นแร่ธาตุที่เป็นองค์ประกอบหลักของดีที่ดี เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช

วิธีการปรับปรุงบำรุงดินแบ่งออกเป็น 3 อย่างด้วยกัน
1.การปรับปรุงดินทางกายภาพ คือ การปรับสภาพโครงสร้างของดินให้เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของรากพืช โดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก
ปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง เป็นต้น
2. การปรับปรุงบำรุงดินทางด้านเคมี คือ การปรับสภาพทำให้ดินมีปริมาณธาตุอาหารที่เพียงพอ
3. การปรับปรุงบำรุงดินด้านชีวภาพ โดยการใช้ปุ๋ยชีวภาพ ซึ่งเป็นปุ๋ยที่ประกอบด้วยจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ และมีคุณสมบัติพิเศษสามารถสังเคราะห์สารประกอบธาตุอาหารพืชได้เอง เช่น ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ, ใช้ระบบพืชคลุมดิน, ใช้ระบบพืชเหลื่อมฤดู หรือ ใช้การปลูกพืชระหว่างแถบไม้พุ่มบำรุงดิน เป็นต้น

และเมื่อเราได้ดินที่ดีแล้ว ต้นทุนในการใช้ปุ๋ยก็ลดลงการใช้สารเคมีในการดูแลก็ลดลง เมื่อต้นทุนลดลงและรายได้เพิ่มมากขึ้น

จ่ายแพงไปทำไม??

ของใช้ดีไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงเสมอไป อยากให้เกษตรกรได้ใช้ของดีที่มีราคาไม่แพง ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต เพิ่มรายได้ ด้วยผลิตภัณฑ์ ตราไร่เทพ ที่เมื่อวิเคราะห์ราคากับปริมาณที่ใช้ จะเห็นได้ว่า คุ้มเกินคุ้ม เพราะราคาที่จ่ายไปกับผลลัพธ์ที่ได้กลับมารับประกันได้เลย การันตีด้วยยอดลูกค้าที่อยู่กับเรายาวนานกว่า 10 ปี

หากท่านกำลังเจอปัญหาพืชเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น เชื้อรา ใบจุด ใบเหลือง พืชขาดธาตุอาหาร ดินเสีย ดินเค็ม ดินแข็ง ไม่เหมาะสมต่อการเพราะปลูก รวมถึงปัญหาที่ได้ผลผลิตน้อย ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ปัญหาเกี่ยวกับการเกษตรเหล่านี้จะหมดไป หากเกษตรกรหันมาให้ผลิตภัณฑ์ของเรา

ไร่เทพ อาหารเสริมพืช จะช่วยให้พืชโตเร็ว สมบูรณ์ แข็งแรง เพิ่มผลผลิต ลูกดก เปอร์เซ็นต์แป้งสูง น้ำหนักดี มีคุณภาพดี

โล่เขียว จะช่วยให้พืชเขียวทน เขียวนาน ต้านทานโรคและแมลง และช่วยให้พืชทนต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม

ดินเทพ เป็นอาหารจุลินทรีย์ที่ดีในดิน ทำให้ดินฟู ร่วนซุย ไร้สารตกค้าง ช่วยให้ดินเหมาะสมแก่การเพาะปลูก และยังสามารถใช้แทนสารจับใบได้ ช่วยให้สารแผ่กระจายทั่วใบและพืชนำไปใช้ได้เลย

 

ราคาไม่แพง .. หากต้องการผลผลิตเพิ่ม ต้องเริ่มที่ไร่เทพ

ไร่เทพ 1 ซอง ฉีดพ่นได้ 3-5 ไร่

โล่เขียว 1 ขวด (1000ml.) ฉีดพ่นได้ 15 ไร่

ดินเทพ 1 ขวด (500ml.) ฉีดพ่นได้ 12 ไร่

 

ระยะการเจริญเติบโตของข้าว…กับการให้ปุ๋ยทางใบ

การทำนาสามารถทำได้ทั้งปีไม่ว่าจะเป็นนาปรังหรือนาปี

เริ่มจากการเตรียมดิน แนะนำให้ใช้ “ดินเทพ” ทั้งตอนไถดะ ไถแปร และไถคราด โดยทุกการไถให้ใช้ ดินเทพ 40 ซีซี ต่อน้ำ 50 ลิตร ฉีดพ่นทางดินควบคู่ไปด้วย ซึ่งดินเทพจะเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการย่อยสลายได้เร็วขึ้น เพิ่มธาตุอาหารในดิน เป็นอาหารของจุลินทรีย์ที่ดีในดิน และที่สำคัญไปช่วยในการปรับโครงสร้างดินให้เมาะสมแก่การเพาะปลูก ทำให้ ดินฟู ร่วนซุย ปลอดภัย ไร้สารตกค้าง

ในระหว่างที่ข้าวอยู่ในช่วงการเจริญเติบโตให้ใช้ “ไร่เทพ” และ “โล่เขียว” บำรุงต้น และช่วยฟื้นฟูหากข้าวได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง หรือถูกทำลายจากโรคและแมลงศัตรูพืช  อัตราส่วนการใช้ ไร่เทพ 1 ซองต่อน้ำ 100 ลิตร และ โล่เขียว 200 ซีซี ต่อน้ำ 200 ลิตร ฉีดพ่นทางใบ

 

ข้อดีของปุ๋ยทางใบ

1.ช่วยให้พืชเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว

2.ใช้กับอาการขาดธาตุอาหารในระยะแรกๆได้ดี

3.ใช้กับพืชที่ปลูกในดินที่มีปัญหา เช่น ดินเค็ม ดินทราย ดินเปรี้ยว

4.พืชสามารถดูดธาตุอาหารทางใบได้มากกว่าและเร็วกว่าการดูดทางราก

5.ช่วยให้พืชฟื้นตัวเร็วหลังจากชะงักเนื่องจากการกระทบภัยแล้ง หรือถูกโรคและแมลงทำลาย

6.ปุ๋ยน้ำมีความสม่ำเสมอของเนื้อปุ๋ยแน่นอนกว่า

7.ง่ายต่อการใช้งานและขนส่ง

 

 

แก้ปัญหาการเผาฟางในพื้นที่เกษตร..ด้วย “ดินเทพ”

แก้ปัญหาการเผาฟางในพื้นที่เกษตร..ด้วย “ดินเทพ”

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขับเคลื่อนการแก้ปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม โดยส่งเสริมการจัดการวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรแบบไม่เผา การส่งเสริมการไถกลบและผลิตปุ๋ยอินทรีย์เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ด้วย

บางพื้นที่กำลังอยู่ในช่วงการเก็บเกี่ยวข้าว การใช้ดินเทพช่วยเร่งสลายตอซังข้าวจึงเป็นทางเลือกที่ดี ด้วยคุณสมบัติของดินเทพที่ไปช่วยในการปรับโครงสร้างดิน ช่วยสร้างธาตุอาหารในดิน และเป็นอาหารจุลินทรีย์ที่ดีในดิน อัตราส่วนการใช้ดินเทพ 1 ขวด (500 มิลลิลิตร) ใช้ได้ 10-12 ไร่ หรือยิ่งใส่มากก็ยิ่งสลายเร็ว โดยดินเทพจะไปย่อยสลายฟาง เศษวัสดุต่างๆ ที่อยู่ในนาที่เป็นอินทรียวัตถุให้ดินดีเหมาะแก่การเพาะปลูก ควรหมักไว้ไม่ต่ำกว่า 7 วัน

โดยแนวทางการดำเนินงานเพื่อลดปริมาณ PM2.5 สำหรับพื้นที่เกษตรอย่างยั่งยืนตามกรอบของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แบ่งออกเป็น 3R

  1. Re-Habit : ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกพืชเป็นการปลูกแบบไม่เผา
  2. Replace with perennial crops : การปลูกทดแทนจากพืชล้มลุก เป็นพืชที่มีมูลค่าสูง หรือไม้ยืนต้นที่ไม่โตเร็วสามารถกักเก็บคาร์บอนได้ดี
  3. Replace with Alternate crops : การปลูกพืชทดแทนในพื้นที่นาปรัง เป็นพืชใช้น้ำน้อย เช่นพืชตระกูลถั่ว

7 เคล็ดลับขั้นเทพ ทำนาให้ได้ผลผลิตเพิ่ม ต้องเริ่มที่ไร่เทพ

ประชากรส่วนใหญ่ของสังคมไทยปลูกข้าวทำนาเป็นอาชีพหลักมาตั้งแต่โบราณ เราจึงขอแนะนำเคล็ดลับขั้นเทพ ทำนาให้ได้ผลผลิตเพิ่ม ต้องเริ่มที่ไร่เทพ เพื่อประยุกต์ใช้ในแต่ละพื้นที่ให้ประสบความสำเร็จ และสามารถนำแนวทางในการปฏิบัติในทุกๆขั้นตอนของการทำนาได้ (อ่านต่อด้านล่าง)

1.ดินดี คือ ดินที่เหมาะต่อการเพาะปลูก ซึ่งการเตรียมดินจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะดินเป็นปัจจัยหลักของธาตุอาหารสำหรับข้าว แนะนำให้ใช้ “ดินเทพ” ในการปรับโครงสร้างดินให้พร้อมต่อการเพาะปลูก และการไม่เผาฟางจึงเป็นสิ่งที่ควรทำเพราะการเผาฟางจะทำลายสภาพดิน เคล็ดลับขั้นเทพแนะทำให้ใช้ดินเทพช่วยเร่งการสลายตอซังข้าว ช่วยสร้างธาตุในดิน ดินดี ร่วนซุย ปลอดภัย ไม่ทิ้งสารตกค้าง

2.เมล็ดพันธุ์ดี คือ ต้องใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพดี และใช้ “ไร่เทพ” ผสมกับ “ดินเทพ” แช่เมล็ดพันธุ์ก่อนหว่านจะช่วยเพิ่มเปอร์เซ็นต์การงอก และช่วยลดการเกิดโรคที่เกิดจากเชื้อราได้ มีอัตราการใช้ดังนี้

-กรณีรดหัวกระสอบ ใช้ไร่เทพ 1 ซอง ต่อน้ำ 100 ลิตร กับ ดินเทพ 20 ซีซี ต่อน้ำ 200 ลิตร **รดให้เปียกชุ่มทั้งกระสอบ**

(กรณีนี้จะรดหลังแช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำแล้ว ให้รดไร่เทกับดินเทพที่หัวกระสอบให้ชุ่มก่อนนำไปหว่านในนาข้าว)

-กรณีแช่ 3 ชั่วโมง ใช้ไร่เทพ 1 ซอง ต่อน้ำ 100 ลิตร กับ ดินเทพ 20 ซีซี ต่อน้ำ 200 ลิตร

-กรณีแช่ข้ามคืน (10 ชั่วโมง แต่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง) ใช้ไร่เทพ 1 ซอง ต่อน้ำ 200 ลิตร กับ ดินเทพ 20 ซีซี ต่อน้ำ 200 ลิตร

เมล็ดข้าวจะงอกขนาด “ตุ่มตา” (มียอดและรากเล็กน้อยโดยรากจะยาวกว่ายอด) พร้อมที่จะนำไปหว่านได้

3.ปุ๋ยดี คือ ต้องมีการให้ปุ๋ยทางใบ “โล่เขียว” ช่วยพืชเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ แข็งแรง พร้อมยังทนต่อสภาพอากาศที่ไม่เหมะสม ทนต่อโรคและแมลง และให้ปุ๋ยทางดินไปพร้อมกันด้วย

4.บำรุงดี คือ การบำรุงด้วยอาหารเสริมพืช “ตราไร่เทพ” จะทำให้ช่วยเพิ่มผลผลิต ช่วยกระตุ้นการดูดซึมธาตุอาหาร ทำให้ระบบรากเดินดี ลำล้นแข็งแรง และมีกลิ่นที่แมลงไม่ชอบ แนะนำให้ใช้ไร่เทพผสมดินเทพ (สารจับใบ) ฉีดพ่นทางใบทุกๆ 10-15 วัน

5.น้ำดี คือ การจัดการน้ำอย่างเหมาะสม การนำน้ำเข้า-ออกนา ตามระยะของข้าว โดยให้เอาน้ำเข้าก่อนตีดิน หลังทำเทือกเสร็จแล้วให้ระบายน้ำออกให้ดินแห้งแบบหมาดๆแล้วจึงหว่านข้าว และปรับหน้าดินให้สม่ำเสมอ

6.การดูแลดี คือการดูแลเอาใจใส่ในทุกขั้นตอนของการเจริญเติบโต เพราะเนื่องด้วยในปัจจุบันจะมีโรคพืชโรคแมลงที่มาพร้อมกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทำให้การดูแลแปลงนาต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมต่อเวลานั้นๆ

7.การเก็บเกี่ยวดี คือ ควรเก็บเกี่ยวในเวลาที่เหมาะสม โดยการเก็บเกี่ยวระยะพลับพลึง คือระยะการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวที่นับจากวันที่ข้าวออกดอกไปแล้ว 28-30 วัน และเก็บเกี่ยวในสภาพที่นาแห้ง หรืออย่างน้อยก็ไม่มีน้ำขังในนาจะช่วยลดการสูญเสียผลผลิตจากข้าวที่ร่วงระหว่างการเก็บเกี่ยวได้ 20%

 

   

เคล็ดลับแช่เมล็ดพันธุ์ข้าว

วันนี้ขอแนะนำเคล็ดลับการแช่เมล็ดพันธุ์ข้าวก่อนที่จะหว่านลงแปลงนา ด้วยวิธีง่ายๆ “เคล็ดลับไร่เทพ” ซึ่งประโยชน์ของการแช่เมล็ดพันธุ์ข้าว จะทำให้เปอร์เซ็นต์การงอกสูงขึ้น ทำให้งอกได้ไว ลดการเกิดโรคที่เกิดจากเชื้อรา ทำให้ข้าวออกสม่ำเสมอ ทำให้ข้าวมีรากมากขึ้น ทำให้มีการเจริญเติบโตได้ดี และข้าวแตกกอดี โตได้อย่างสมบูรณ์

การแช่เมล็ดพันธุ์ข้าวให้ได้คุณภาพสูงจะช่วยบำรุงเมล็ดพันธุ์ข้าวจนกระทั่งงอกเป็นต้นกล้าที่สมบูรณ์ ซึ่งเคล็ดลับนี้สามารถนำไปใช้ได้กับทุกสายพันธุ์ข้าวเลย

อัตราการใช้

-กรณีรดหัวกระสอบ ใช้ไร่เทพ 1 ซอง ต่อน้ำ 100 ลิตร กับ ดินเทพ 20 ซีซี ต่อน้ำ 200 ลิตร **รดให้เปียกชุ่มทั้งกระสอบ**

(กรณีนี้จะรดหลังแช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำแล้ว ให้รดไร่เทกับดินเทพที่หัวกระสอบให้ชุ่มก่อนนำไปหว่านในนาข้าว)

-กรณีแช่ 3 ชั่วโมง ใช้ไร่เทพ 1 ซอง ต่อน้ำ 100 ลิตร กับ ดินเทพ 20 ซีซี ต่อน้ำ 200 ลิตร

-กรณีแช่ข้ามคืน (10 ชั่วโมง แต่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง) ใช้ไร่เทพ 1 ซอง ต่อน้ำ 200 ลิตร กับ ดินเทพ 20 ซีซี ต่อน้ำ 200 ลิตร

เมล็ดข้าวจะงอกขนาด “ตุ่มตา” (มียอดและรากเล็กน้อยโดยรากจะยาวกว่ายอด) พร้อมที่จะนำไปหว่านได้

ไม่ต้องกังวล .. น้ำท่วมนาแต่ข้าวไม่ตาย

ตอนนี้ประเทศไทยตอนบนพบกับวิกฤตน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากมาเร็วและหนักกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งสถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้เกิดความเสียหายในพื้นที่จังหวัดของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ ตาก เชียงราย น่าน แพร่ พะเยา และ สุโขทัย ซึ่งส่งผลต่อภาคการเกษตรด้วย ดังนั้นในพื้นที่ที่น้ำจะไหลผ่านลงสู่ทะเลอ่าวไทย เกษตรกรควรมีการเตรียมรับมือกับมวลน้ำจำนวนมาก

 

เราไม่สามารถเคลื่อนย้ายหรือเปลี่ยนทิศทางการไหลของน้ำได้แต่เราสามารถที่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นตัวช่วยได้ กล่าวคือตัวช่วยให้พืชสามารถทนได้กว่าปกติในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต แต่พืชจะสามารถเติบโตให้สามารถให้ผลผลิตได้ และฟื้นตัวได้ไวหากสามารถรีบระบายน้ำออกได้ทันเวลา

 

 

โล่เขียว มีส่วนผสมของแมกนีเซียมกับสังกะสี จะช่วยทำให้พืชเขียวทน เขียวนาน ทนทานต่อโรคและแมลง อีกทั้งจะช่วยพืชทนต่อสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสมได้ดี

ไร่เทพ จะช่วยกระตุ้นการดูดซึมธาตุอาหาร ทำให้พืชนำสารอาหารไปใช้ได้ทันที ส่งผลให้เพิ่มผลผลิต เพิ่มน้ำหนัก และมีกลิ่นที่แมลงไม่ชอบ ที่สำคัญช่วยฟื้นฟูได้ดี

ดินเทพ ในกรณีใช้เป็นสารจับใบเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของไร่เทพกับโล่เขียว

 

 

อัตราการใช้

โล่เขียว 200 ซีซี ผสมน้ำ 200 ลิตร

ไร่เทพ 1 ซอง ผสมน้ำ 100 ลิตร

ดินเทพ 20 ซีซี ผสมน้ำ 200 ลิตร

สามารถผสมกันแล้วฉีดพ่นทางใบ เป็นละอองไปเกาะไม่ต้องจี้ ฉีดพ่นก่อน 10 โมงเช้า หรือหลัง 5 โมงเย็น

เจ้าของสวนชื่นใจ “อินทผลัม” 1 ต้น 12 จั่น ลูกดก รสชาติดี ขายได้กำไร

อินทผลัม เป็นพืชเศรษฐกิจที่กำลังมาแรง และเกษตรกรกำลังให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะมีการปลูกมากขึ้น เนื่องจากปลูกง่าย เก็บผลผลิตได้ในระยะยาว ให้ผลตอบแทนสูง ที่สำคัญเป็นผลไม้ที่เจริญเติบโตได้เป็นอย่างดีในเขตที่มีอากาศร้อนและแห้งแล้ง

อินทผลัม มีประโยชน์ช่วยบำรุงร่างกาย เพิ่มกำลัง ขจัดความเมื่อยล้า ช่วยดับความหนาวเย็น ช่วยในการขับถ่าย ถ่ายสะดวก ป้องกันโรคท้องผูก เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ เนื่องจากในอินทผลัมมีสารฟีลกูลีน จึงช่วยบำรุงการหลั่งน้ำเชื้อของเพศชายได้ และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดในสมองด้วย

วันนี้จะพาทุกคนมารู้จักกับเกษตรกรผู้เชี่ยวชาญในการปลูกอินทผลัม นั่นคือ คุณนุช หรือคุณวรนุช พันธุ์ศิริ เป็นชาวตำบลเลาขวัญ อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นเจ้าของสวนอินทผลัม 3 เจ ฟาร์ม เป็นเกษตรกรตัวอย่างที่สามารถปลูกอินทผลัมได้ผลผลิตสูงและมีคุณภาพดี เพราะใส่ใจในทุกๆขั้นตอนการผลิต เริ่มตั้งแต่การเตรียมดิน โดยมีการวัดค่า pH ของดิน และใช้ดินเทพปรับโครงสร้างดินให้ดินที่สมบูรณ์เหมาะสมแก่การเพราะปลูก (ใช้ร่วมกับปุ๋ยมูลสัตว์) จากนั้นบำรุงธาตุอาหารให้กับพืชตรงจุดตามความต้องการของพืชด้วยไร่เทพและโล่เขียว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการปลูกอินทผลัมให้ได้ผลผลิตที่สูง เจ้าของสวนชื่นใจ

การเตรียมดินใช้ดินเทพ อัตราส่วน ดินเทพ 40 ซีซี ต่อน้ำ 50 ลิตร รดที่โคนต้น (ใช้ร่วมกับมูลสัตว์)

การบำรุงด้วยไร่เทพและโล่เขียว อัตราส่วน
ไร่เทพ 1 ซอง ต่อน้ำ 100 ลิตร
โล่เขียว 100 ซีซี ต่อน้ำ 100 ลิตร

เคล็ดลับเพิ่มผลผลิต “มันสำปะหลัง”

มันสำปะหลังจัดได้ว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย เกษตรกรในหลายพื้นที่สร้างรายได้จากการปลูกมันสำปะหลัง และในอนาคตคาดว่าความต้องการณ์ใช้มันสำปะหลังในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากมีการนำมันสำปะหลังมาผลิตในอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน จึงส่งผลให้เกษตรกรใส่ใจกับการปลูกมันสำปะหลังให้มีคุณภาพและปริมาณสูง

      การใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่เตรียมดินจนถึงการเก็บเก็บผลผลิตจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากอยากประสบความสำเร็จในการปลูกมันสำปะหลัง ไร่เทพมีเคล็ดลับเพิ่มผลผลิตในการปลูกมันสำปะหลังให้มีทั้งคุณภาพและปริมาณที่สูงได้

ในขั้นตอนก่อนปลูก การเตรียมดินให้มีความสมบูรณ์ก่อนปลูกด้วย “ดินเทพ” สารปรับโครงสร้างดินที่เป็นสารอาหารสำหรับจุลินทรีย์ในดิน ช่วยลดความเป็นกรดของดิน เพิ่มประสิทธิภาพการย่อยสลายอินทรียวัตถุในดิน ทำให้ดินฟู ร่วนซุย ทั้งมีความปลอดภัยไม่ทิ้งสารตกค้าง อัตราการใช้ ดินเทพ 40-50 ซีซี ต่อน้ำ 50 ลิตร

การแช่ท่อนพันธุ์ด้วย “ไร่เทพและโล่เขียว” จะช่วยเร่งการแตกราก กักตุนอาหารตั้งแต่เริ่มปลูก โดยสูตรแช่ท่อนพันธุ์แบ่งเป็น 2 กรณี คือ

  • 1.กรณีแช่ 3-5 ชั่วโมงก่อนปลูก คือ ไร่เทพ 2-4 ซอง ผสมน้ำ 200 ลิตรและโล่เขียว 80-100 ซีซี
  • 2.กรณีแช่ข้ามคืน (10 ชั่วโมงขึ้นไป แต่ไม่ควรเกิน 24 ชม.) คือ ไร่เทพ 1-2 ซอง ผสมน้ำ 200 ลิตร และ โล่เขียว 50 ซีซี

ต่อมาในช่วง 14-60 วัน ให้ฉีดพ่น ไร่เทพ 1 ซอง ผสมน้ำ 100 ลิตร กับ โล่เขียว 100 ซีซี ต่อน้ำ 200 ลิตร และดินเทพ (กรณีใช้เป็นสารจับใบ) 20 ซีซี ต่อน้ำ 200 ลิตร
**ฉีดพ่นทุกๆ 15 วัน**

ตั้งแต่ 60 วัน ขึ้นไป ให้ฉีดพ่น ไร่เทพ 1 ซอง ผสมน้ำ 100 ลิตร กับ โล่เขียว 200 ซีซี ต่อน้ำ 200 ลิตร และดินเทพ (กรณีใช้เป็นสารจับใบ) 20 ซีซี ต่อน้ำ 200 ลิตร
**ฉีดพ่นทุกๆ 15 วัน**

หมายเหตุ ฉีดพ่นทางใบเป็นละออง ไม่ต้องจี้ ควรฉีดพ่นก่อน 10 โมงเช้า และหลัง 5 โมงเย็น

เจอเพลี้ยไฟ ทำไงดี?

ช่วงนี้เพลี้ยไฟระบาดลงแปลงนาเป็นจำนวนมาก จัดได้ว่าเป็นปัญหาหนึ่งของเกษตรกรที่ต้องพบเจอ เพราะมีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่ร้อนแล้ง ฝนที่ทิ้งช่วงยาวนาน รวมทั้งการหนีตายจากแปลงใกล้เคียง

แต่หากเจอเพลี้ยไฟแล้ว ทำไงดี?
ปัญหานี้ตอบได้จากประสบการณ์จริงของแปลงนาผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ตราไร่เทพ กล่าวคือ นาข้าว 50 ไร่ แปลงนี้ มีอายุ 15 วัน ได้ฉีดผลิตภัณฑ์ ตราไร่เทพ รอบแรกในอัตราการใช้ดังนี้ ไร่เทพ 12 ซอง ดินเทพ 400 ซีซี (20 ฝา) และโล่เขียว 4 ขวด (4000 มิลลิลิตร) โดยใช้โดรนเกษตรฉีดพ่นทั่วแปลงนา ส่วนนี้จะทำให้ข้าวได้รากอย่างสมบูรณ์และต้นแข็งแรงพร้อมที่จะเติบโตไปในระยะต่อไป

แต่พอข้าวอายุ 20 วัน เริ่มมีการระบาดของเพลี้ยไฟในพื้นที่ซึ่งทางเราไม่ได้ฉีดป้องไว้ก่อน เนื่องด้วยไร่เทพมีคุณสมบัติพิเศษที่มีกลิ่นที่แมลงไม่ชอบ ในช่วงแรกเพลี้ยไฟยังไม่มาลงแปลงมาจะเห็นว่าเมื่อเทียบกับแปลงนาข้างๆ แปลงนาที่ไม่ได้ใช้ไร่เทพเพลี้ยลงใบข้าวมีสีเขียวอ่อน ซึ่งแตกต่างกับแปลงนาที่ใช้ไร่เทพอย่างชัดเจน แต่เมื่อแปลงนาข้างๆมีการฉีดพ่นกำจัดเพลี้ยไฟแล้วนั้น ทำให้เพลี้ยไฟเหล่านั้นหนีตายมาแปลงข้างๆ เกิดความเสียหายจากการโดนเพลี้ยไฟเข้าทำลายต้นข้าวเกิดปลายใบไหม้ ข้าวมีอาการเหลือง แต่เมื่อเทียบอาการเพลี้ยลงแปลงนากับแปลงนาที่ไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ ตราไร่เทพ แล้วพบว่าแปลงนาที่ใช้ผลิตภัณฑ์ ตราไร่เทพ มีสีเหลืองที่เกิดจากการเข้าทำลายของเพลี้ยไฟน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อเจอเพลี้ยไฟหนีตามาลงแปลงนา จึงฉีดพ่นยากำจัดเพลี้ยไฟร่วมกับผลิตภัณฑ์ ตราไร่เทพ อัตราการใช้ไร่เทพ 10 ซอง ผสมโล่เขียว 4 ขวด (4000 มิลลิลิตร) และดินเทพ 400 ซีซี (20 ฝา) โดยใช้โดรนเกษตรฉีดพ่นทั่วแปลงนา

หลังการฉีดพ่น 3 วัน เห็นได้ว่า ข้าวมีการฟื้นตัวจากการเข้าทำลายของเพลี้ยไฟได้อย่างรวดเร็ว จากที่ต้นข้าวที่มีสีอมเหลืองและใบมีอาการโค้งงอ ปลายใบไหม้ ตอนนี้ต้นข้าวกลับมามีความเขียวสด ต้นข้าวยืดตรงไม่โค้งงอ ระบบรากมีความสมบูรณ์ รากเยอะ รากขาวดูสะอาดไม่เป็นโรค และพร้อมจะยึดเกาะดินที่ร่วนซุยพยุงต้นให้เติบโตต่อไป

ซึ่งจะเห็นได้ว่า ถึงแม้ว่าแปลงนาข้าวจะเกิดปัญหาที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่หากปัญหาที่เกิดขึ้นถูกแก้ไขได้ถูกวิธีและรวดเร็วปัญหาเหล่านั่นก็จะหมดไป

#ไร่เทพ #ดินเทพ #โล่เขียว #เพลี้ยไฟ #นาข้าว #เกษตรกร

เจอเพลี้ยไฟ ทำไงดี?

ไร่เทพปันน้ำใจ “มอบทุการศึกษา ให้กับเด็กพื้นที่ห่างไกลและขาดแคลน”

คุณเชอรี่ มนต์พิชิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารผลิตภัณฑ์ตราไร่เทพ เห็นความสำคัญในการให้โอกาส และการศึกษาจึงเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มโอกาสในการดำเนินชีวิตให้หลุดพ้นจากความจนได้ เนื่องจากปัญหาเด็กด้อยโอกาสที่เกิดจากความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในสังคม เด็กและเยาวชนหลายๆ คนกลายเป็นเด็กด้อยโอกาส ทำให้ขาดโอกาสในการมีคุณภาพชีวิตที่ดี

คุณเชอรี่จึงได้มอบทุนการศึกษาให้กับเด็กๆ พื้นที่ห่างไกล และขาดแคลน ผ่านมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นการ “ส่งเสริมการศึกษาให้สว่างไสว สร้างอนาคตที่สดใสให้น้อง” และร่วมบริจาคและจุดไฟแห่งปัญญาให้แก่เด็กๆ เพื่อให้อนาคตของพวกเขาส่องสว่าง และพร้อมส่งต่อสิ่งดีๆ คืนสู่สังคม โดยพร้อมเป็นแรงสนับสนุนที่จะช่วย “จุดประกายความรู้ สู่พัฒนาการสมวัย” ของเด็กยากไร้ที่ขาดโอกาสในการพัฒนาศักยภาพ

ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณเชอรี่ ได้มีการมอบทุนการศึกษานี้อย่างต่อเนื่องและตั้งใจจะทำต่อไป เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือและพัฒนาสังคมให้ดียิ่งขึ้น

ไร่เทพปันน้ำใจ “มอบทุการศึกษา ให้กับเด็กพื้นที่ห่างไกลและขาดแคลน”

เฝ้าระวังหนอนเจาะผลทุเรียน

เฝ้าระวังหนอนเจาะผลทุเรียน

เฝ้าระวังหนอนเจาะผลทุเรียน

 

สภาพอากาศในช่วงนี้อากาศร้อน มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง เตือนผู้ปลูกทุเรียน เฝ้าระวังหนอนเจาะผลทุเรียน ศัตรูพืชเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญที่ทำความเสียหายให้แก่ทุเรียน
การระบาดของศัตรูพืชทำให้ผลผลิตทุเรียนลดลง และคุณภาพของผลผลิตต่ำ แมลงและไร ศัตรูพืชที่สำคัญและทำความเสียหายทางเศรษฐกิจให้แก่ทุเรียน
โดยหนอนเจาะผลทุเรียนมักพบการเข้าทำลายในช่วงที่ต้นทุเรียนอยู่ในระยะติดผล
เกษตรกรควรหมั่นสำรวจสวนทุเรียนในระยะนี้ จะพบการเข้าทำลายทุเรียนตั้งแต่ผลเล็ก
อายุประมาณ 2 เดือน จนถึงผลใหญ่ทำให้ผลเป็นแผล อาจเป็นผลให้ผลเน่าและร่วงเนื่องจากเชื้อราเข้าทำลายซ้ำ
การที่ผลมีรอยแมลงทำลายทำให้ขายไม่ได้ราคา
ถ้าหากหนอนเจาะกินเข้าไปจนถึงเนื้อผล ทำให้บริเวณดังกล่าวเน่าเมื่อผลสุก โดยจะสังเกตเห็นมูลและรังของหนอนได้อย่างชัดเจนที่บริเวณเปลือกผลทุเรียน
และจะมีน้ำไหลเยิ้มเมื่อทุเรียนใกล้แก่ ผลทุเรียนที่อยู่ชิดติดกันหนอนจะเข้าทำลายมากกว่าผลที่อยู่เดี่ยวๆ เพราะแม่ผีเสื้อชอบวางไข่บริเวณรอยสัมผัสนี้

 

แนวทางป้องกัน/แก้ไข

    1. หมั่นตรวจดูผลทุเรียน เมื่อพบรอยทำลายของหนอน ให้ใช้ไม้หรือลวดแข็งเขี่ยตัวหนอนออกมาทำลาย
    2. ผลทุเรียนที่ถูกหนอนเจาะ ควรทำลายโดยการเผาไฟหรือฝัง
    3. ไร่เทพ เป็นอาหารทางใบที่มีผลต่อการสังเคราะห์แสงของพืช โดยมีกลิ่นที่แมลงไม่ชอบ ช่วยป้องกันแมลงได้ในระดับหนึ่ง อีกทั้งยังไปช่วยฟื้นฟู ซ่อมแซม และช่วยเพิ่มผลผลิตด้วย และปุ๋ยโล่เขียว จะช่วยทำให้ผลและใบสมบูรณ์ ใบใหญ่ เขียวเข้ม ต้นแข็งแรง ผลไม่โทรมและยังช่วยให้ทนต่อโรคได้ดียิ่งขึ้น ส่วนดินเทพ สารปรับโครงสร้างดิน มีอาหารของจุลินทรีย์ที่ดีในดิน จึงช่วยเพิ่มจุลินทรีย์และช่วยส่งเสริมการสร้างธาตุอาหารในดิน อีกทั้งใช้แทนสารจับใบ ทำให้ไร่เทพและปุ๋ยโล่เขียวมีประสิทธิภาพมากขึ้น (อัตราการใช้ไร่เทพ 1 ซอง ผสมน้ำ 100 ลิตร ผสมปุ๋ยโล่เขียว 100 มิลลิลิตร และผสมดินเทพ 10 มิลลิลิตร)
    4. ตัดแต่งผลทุเรียนที่มีจำนวนมากเกินไป ควรตัดแต่งผลไม่ให้ติดกัน และใช้ใช้กิ่งไม้หรือกาบมะพร้าวคั่นระหว่างผล เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเต็มวัยวางไข่หรือตัวหนอนเข้าหลบอาศัย สามารถลดการทำลายของหนอนเจาะผลได้
    5. การห่อผลด้วยถุงพลาสติกสีขาวขุ่น เจาะรูที่บริเวณขอบล่างเพื่อให้หยดน้ำระบายออก โดยเริ่มห่อผลตั้งแต่ผลทุเรียนมีอายุ 6 สัปดาห์ เป็นต้นไป จะช่วยลดความเสียหายได้
    6. หากพบการระบาดรุนแรงของหนอนเจาะผลทุเรียน ให้เกษตรกรพ่นด้วยสารฆ่าแมลงที่มีประสิทธิภาพเมื่อจำเป็นต้องใช้ คือ แลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 5% EC อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นเฉพาะส่วนผลทุเรียนที่พบการทำลายของหนอนเจาะผล

 

หมายเหตุ การผลิตทุเรียนส่งออกควรจัดการตามระบบเกษตรดีที่เหมาะสม (Good Agricultural Practice; GAP) กรณีการใช้สารเคมีควรใช้อัตราตามฉลาก และเกษตรกรควรทิ้งช่วงก่อนเก็บเกี่ยวหลังจากการพ่นสารครั้งสุดท้ายแล้วอย่างน้อย 7 วัน

 

     

 

 

ที่มา: กรมวิชาการเกษตร

สอบถามข้อมูล-เทคนิคการปลูกพืชชนิดต่างๆ เรามีทีมส่งเสริมการขายที่เชี่ยวชาญ พร้อมตอบคำถามเกษตรกรตลอดเวลา
🌾👀🌾🍅🍆🌽🍄🌰 🍇🍈🍉🍊🍋🍌🍍🍎🍏🍐
—————————-
Tel. : 098-280-8200
—————————-

ไม่เผาฟาง-สร้างธาตุในดิน

ไม่เผาฟาง-สร้างธาตุในดิน

ไม่เผาฟาง-สร้างธาตุในดิน

             

                  หลังฤดูการเก็บเกี่ยวก่อนที่จะเข้าหน้าฝนที่เป็นฤดูการปลูกข้าวของเกษตรกร ด้วยหลายๆปัจจัยจึงทำให้เกษตรกรไม่สามารถเผาฟางได้ วิธีการย่อยสลายตอซังจึงเป็นวิธีที่นิยมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด แต่วิธีการนี้ต้องอาศัยเวลาในการย่อยสลายเพื่อให้อินทรียวัตถุในดินได้ย่อยสลายอย่างสมบูรณ์และเกิดแร่ธาตุอาหารในดินสำหรับการปลูกข้าวครั้งใหม่ได้ แต่ถ้าการย่อยสลายฟางข้าวไม่สมบูรณ์และเริ่มการปลูกข้าวครั้ง ใหม่ทันที ข้าวจะไม่โตและตายในที่สุด ดังนั้นการมีสารปรับโครงสร้างดิน “ดินเทพ” ที่มีประสิทธิภาพในการย่อยสลายตอซัง นับเป็นวิธีที่ดีอีกวิธีหนึ่ง

“การทำนาโดยไม่เผาตอซังและฟางข้าว มีผลดี คือ รักษาโครงสร้างของดินให้คงสภาพร่วนซุยไม่แข็งกระด้าง ลดปัญหามลพิษทางอากาศ และลดการเกิดปัญหาภาวะโลกร้อน ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญของพืชไม่สูญเสียไป”

ผลเสียที่เกิดขึ้นจากการเผาฟาง

1.ฝุ่น PM2.5 : ทำให้เกิดฝฝุ่น ควันและก๊าซพิษ “อันตรายถึงชีวิต”

2.ทําให้พื้นที่เพาะปลูกเสื่อมโทรมทำลายบอินทรียวัตถุและธาตุอาหารในดินต้องใช้ดินเทพปรับโครงสร้างดิน “พืชจะอ่อนแอ”

3.ทำลายธาตุอาหารในดิน ทำลายอินทรียวัตถุในดิน สูญเสียธาตุอาหารจากฟาง “ดินมีธาตุอาหารต่ำ”

4.ทำให้ดินเป็นกรดมากขึ้น : ธาตุอาหารจะละลายให้พืชดูดกินได้น้อยลง “พืชจะขาดธาตุอาหาร”

5.ทำลายสิ่งมีชีวิต ที่มีประโยชน์ในดิน “ผลผลิตลด”

ฟางข้าวที่อยู่ในนานั้นสามารถเปลี่ยนให้เป็นปุ๋ย เพราะฟางข้าวมีธาตุฟอสฟอรัสสูงมากเป็นประโยชน์ต่อดิน โดยมีวิธีการทำดังนี้

  1. นำฟางมาหมักกลบกับดิน แล้วใช้จุลินทรีย์ย่อยสลาย “ดินเทพ” เข้าไป
  2. การใส่จุลินทรีย์เข้าไปย่อยสลายโดยใช้สารปรับโครงสร้างดิน “ดินเทพ” หรือจะหมักเองจากจุลินทรีย์หน่อกล้วยก็ได้ เพราะในหน่อกล้วยมีกลุ่มจุลินทรีย์ที่โคนกล้วยอยู่แล้วเพราะมีความชื้น จุลินทรีย์ชอบเกาะกลุ่มอยู่ ก็นำมาขยายเชื้อ โดยการใช้กากน้ำตาลผสมกับหน่อกล้วยสับ แล้วก็หมักทิ้งไว้ 7 วัน หลังจากนั้นก็นำมาบีบให้เกิดหัวเชื้อ จะได้หัวเชื้อจุลินทรีย์หน่อกล้วย หลังจากนั้นก็นำไปใส่กับน้ำเปล่าแล้วเติมกากน้ำตาลลงไป คนทุกวัน ทิ้งไว้ประมาณ 5 วัน แล้วก็นำไปปล่อยในแปลงนา
  3. เวลานำไปปล่อยในแปลงนา คนปล่อยไม่จำเป็นต้องเดินเข้าไปในนา เพราะเราต้องปล่อยน้ำเข้านาอยู่แล้ว ให้หยด “ดินเทพ” ลงทางเข้าประตูน้ำ เพราะน้ำไปถึงไหนตัวดินเทพก็วิ่งตามไปถึงนั่นเหมือนกัน หรือสามารถเจาะขวด “ดินเทพ” และผูกไปกับท้ายรถตี โดยไม่จำเป็นต้องเดินให้เหนื่อย นี่เป็นเทคนิคง่ายๆ
  4. อัตราส่วนการใช้ดินเทพ 1 ขวด (500 มิลลิลิตร) ใช้ได้ 10-12 ไร่ หรือยิ่งใส่มากก็ยิ่งสลายเร็ว โดยดินเทพจะไปย่อยสลายฟาง เศษวัสดุต่างๆ ที่อยู่ในนาที่เป็นอินทรียวัตถุให้ดินดีเหมาะแก่การเพาะปลูก ควรหมักไว้ไม่ต่ำกว่า 7 วัน เพื่อให้คายก๊าซ เพราะในฟางข้าวเกิดการทับถมกันอยู่ในดิน จะเกิดก๊าซ มีความร้อน ถ้าก๊าซคายไม่หมดจะทำให้ข้าวต้นเหลืองแห้ง ถ้าเราหว่านข้าวไปแล้วก๊าซไม่หมดแล้วต้นข้าวเหลือง ให้แก้โดยวิธีปล่อยน้ำออกให้แห้ง ให้ดินแตกเป็นหัวระแหงออกมา ให้อากาศเข้าไปถ่ายเทดูดก๊าซออกมาได้ นี่คือวิธีง่ายๆ

 

 

 

 

“การหมักฟางจะทำให้เราประหยัดต้นทุน โดยจะได้ทั้งฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม ธาตุอาหารฟอสฟอรัสจะช่วยในการทำให้ข้าวแข็งแรง และป้องกันโรค ส่วนโพแทสเซียมจะช่วยในการสร้างรวง และสร้างแป้งให้ข้าว ซึ่งสองแร่ธาตุนี้มีอยู่แล้วในฟางข้าว เขาจึงใช้ฟางข้าวให้เกิดประโยชน์สูงสุด”

#ดินเทพ #ดินฟู #ร่วนซุย #ปลอดภัย #ไร้สารตกค้าง

ปลูกมะเขือเทศให้งาม

มะเขือเทศ

มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lycopersicon esculentum Mill. เป็นพืชที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมพืชหนึ่งของประเทศไทย แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ มะเขือเทศส่งโรงงานอุตสาหกรรม และมะเขือเทศรับประทานผลสด จากสถิติการปลูกพืชผักรายปีของกรมส่งเสริมการเกษตร แสดงให้เห็นว่า มีการปลูกมะเขือเทศในประเทศไทยประมาณปีละ 40,000 ไร่ ในช่วงปี 2532 – 2533 เป็นช่วงที่มีการขยายพื้นที่ปลูกมะเขือเทศมากที่สุดถึง 90,000 ไร่ แล้วค่อย ๆ ลดลงในระยะต่อมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะพื้นที่ปลูกมะเขือเทศส่วนใหญ่ 80 – 90 % เป็นการปลูกสำหรับส่งโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งปริมาณการผลิตขึ้นอยู่กับภาวะความต้องการของตลาดโลก เมื่อประเทศต่าง ๆ สามารถผลิตมะเขือเทศได้ดีทำให้มีปริมาณผลิตภัณฑ์มะเขือเทศมากเกินความต้องการ   ราคาผลผลิตตกต่ำจำเป็นต้องลดปริมาณการผลิตลง มีผลให้พื้นที่ปลูกในประเทศไทยลดลงด้วย    สำหรับพื้นที่ปลูกมะเขือเทศเพื่อบริโภคผลสดคาดว่า มีเพียงประมาณ  8,000 – 9,000 ไร่ คนไทยคุ้นเคยกับการรับประทานมะเขือเทศผลเล็ก สีชมพู มานานโดยนำไปใช้ปรุงรสและกลิ่นของอาหาร เช่น ส้มตำ อย่างไรก็ดีการบริโภคมะเขือเทศ ไม่จำกัดอยู่เพียงลักษณะผลเล็กสีชมพูเท่านั้น  คนไทยยังนำมะเขือเทศผลใหญ่สีแดง ที่ปลูกส่งโรงงานอุตสาหกรรมมาบริโภคด้วย  นอกจากนี้หลังจากที่มีการนำมะเขือเทศผลเล็กจิ๋ว หรือมะเขือเทศเชอรี่ ซึ่งมีน้ำหนักผลน้อยกว่า 10 กรัม มาวางจำหน่ายในท้องตลาดปรากฎว่า ผู้บริโภคให้ความสนใจมะเขือเทศเชอรี่ค่อนข้างมากเพราะเป็นมะเขือเทศที่มีรสหวานเมล็ดน้อยสามารถนำไปบริโภคโดยตรงแทนผลไม้ได้

       ลักษณะการเจริญเติบโต

       ลักษณะการเจริญเติบโตของมะเขือเทศแบ่งออกเป็นลักษณะดังนี้

       แบบเลื้อย   มะเขือเทศประเภทนี้ถ้าสภาพแวดล้อมเหมาะสม จะสามารถเจริญเติบโตสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่สิ้นสุดมีกิ่งแขนงขนาดใกล้เคียงกับลำต้น 2 – 3 แขนง และมีแขนงย่อยได้อีกไม่จำกัด ช่อดอกแรกเกิดระหว่างข้อที่ 8 และ 9   ช่อดอกต่อมาจะเกิดขึ้นทุก ๆ 3 ข้อ ลำต้นอาจจะสูงหรือยาวกว่า 10 เมตร

       แบบพุ่ม   มีลำต้นตั้งตรงกิ่งแขนงหลายแขนงเกิดตามข้อบนลำต้นด้านล่าง และอาจมีแขนงย่อยได้อีก ช่อดอกเกิดระหว่างข้อทุกข้อในเวลาใกล้เคียงกัน เมื่อตายอดเกิดช่อดอกแล้วจะหยุดการเจริญเติบโต มะเขือเทศบางพันธุ์เมื่อตายอดเกิดช่อดอกแล้วจะมีกิ่งแขนงเกิดที่ข้อใต้ช่อดอกเติบโตต่อไปเรื่อย ๆ เรียกว่าเจริญเติบโต

       สภาพภูมิอากาศและฤดูปลูกที่เหมาะสม

       มะเขือเทศสามารถเจริญเติบโตทางด้านลำต้น ใบ และออกดอกได้ดีตลอดทั้งปี แต่การติดผลของมะเขือเทศต้องการสภาพอากาศค่อนข้างเย็น อุณหภูมิกลางวันที่เหมาะสมอยู่ที่ระหว่าง 25 – 30 องศาเซลเซียส อุณหภูมิกลางคืนประมาณ 16 – 20 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิกลางคืนสูงกว่า 22 องศาเซลเซียส จะทำให้มะเขือเทศไม่ติดผลหรือติดผลได้น้อยมาก ฝนและความชื้นสูงเป็นสาเหตุสำคัญทำให้โรคทางใบและทางรากระบาดรุนแรง ดังนั้นฤดูปลูกที่เหมาะสมที่สุดจึงอยู่ในช่วงฤดูหนาว โดยมีช่วงหยอดเมล็ดเพาะกล้าอยู่ระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม ซึ่งนอกจากสภาพอากาศจะเหมาะสมต่อการติดผล ทำให้ได้ผลผลิตสูงแล้วยังมีศัตรูพืชรบกวนน้อย ต้นทุนการผลิตจึงต่ำกว่าการปลูกในฤดูอื่นด้วย  การปลูกมะเขือเทศในฤดูฝน คือ ฤดูฝนจะมีความชื้นและอุณหภูมิเหมาะแก่การเจริญเติบโตของโรคหลายชนิด และมะเขือเทศบางพันธุ์ผลจะแตกง่ายเมื่อฝนตกถ้าต้องการจะปลูกมะเขือเทศในฤดูฝนสิ่งที่จะต้องปฏิบัติคือ

  1. เลือกพื้นที่ปลูกที่สูง มีการระบายน้ำดีเป็นพิเศษ
  2. ดินมีสภาพเป็นกลาง คือมีค่าความเป็นกรดเป็นด่างประมาณ 6.5 – 6.8
  3. ใช้พันธุ์ที่เหมาะสมในแต่ละฤดู คือให้ผลดกในฤดูฝน และฤดูร้อน
  4. มีการปฏิบัติรักษาอย่างถูกต้อง คือเตรียมดินใส่ปุ๋ยให้ถูกต้อง ฉีดพ่นสารสมุนไพรหรือสารชีวภัณฑ์ที่ใช้ป้องกันกําจัดศัตรูพืชอย่างถูกต้องและบ่อยครั้งเป็นพิเศษ ไม่ปล่อยให้โรคทําลายก่อนแล้วจึงป้องกันกําจัด

       สภาพดินและความอุดมสมบูรณ์ของดิ

       มะเขือเทศเจริญเติบโตได้ดีทั้งในดินร่วนเหนียวและดินร่วนทราย ความเป็นกรดด่าง (pH) ที่เหมาะสมประมาณ 5.5 – 7.0 และเป็นดินที่ระบายน้ำดี มะเขือเทศไม่ชอบน้ำขังแฉะ ถ้าฝนตกติดต่อกันจะต้องเร่งระบายน้ำออกให้เร็วที่สุด นอกจากนี้ควรเป็นแหล่งที่ไม่เคยปลูกมะเขือเทศมาก่อนในระยะ 1 – 2 ปีที่ผ่านมา เพราะจะมีโรคและแมลงสะสมทำให้การป้องกันกำจัดทำได้ยาก

       ปัญหาการไม่ติดผลและการแก้ไข

       ในฤดูหนาวสามารถปลูกมะเขือเทศได้ง่ายที่สุด แต่การบริโภคมะเขือเทศไม่ได้ถูกจำกัดเพียงฤดูเดียว ดังนั้นจึงมีความพยายามปลูกมะเขือเทศนอกฤดูในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝน ซึ่งปัญหาที่สำคัญคืออุณหภูมิสูงเกินไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือน มีนาคม เมษายน และพฤษภาคม ทำให้ดอกมะเขือเทศร่วงไม่ติดผล แต่เนื่องจากราคาผลผลิตในช่วงปลายฤดูร้อนค่อนข้างสูง จึงมีเกษตรกรยอมเสี่ยงปลูก การแก้ไขปัญหาการไม่ติดผลของมะเขือเทศที่ปลูกในฤดูร้อนสามารถทำได้หลายวิธี

  1. ปลูกมะเขือเทศบนภูเขาสูง ปกติบนภูเขาสูงจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าในพื้นราบ จึงมีการปลูกมะเขือเทศนอกฤดูกันมาก เช่น ที่จังหวัดเชียงราย เพชรบูรณ์ เป็นต้น แต่บนภูเขาสูงมักมีปัญหาแหล่งน้ำจำกัด อาจใช้ปลูกมะเขือเทศได้ไม่ตลอดฤดูปลูก จึงต้องเลือกแหล่งที่มีน้ำสมบูรณ์จริง ๆ
  2. ใช้พันธุ์ทนร้อน ร่วมกับการจัดการที่ดี พันธุ์มะเขือเทศทั่วไปจะไม่สามารถติดผลได้ถ้าอุณหภูมิกลางคืนสูงกว่า 22 องศาเซลเซียส แต่พันธุ์ทนร้อนสามารถติดผลได้แม้ว่าอุณหภูมิกลางคืนสูงกว่า 23 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ดีถ้าอุณหภูมิกลางวันสูงเกินกว่า 35 องศาเซลเซียส ก็ทำให้มะเขือเทศพันธุ์ทนร้อนติดผลได้ยาก การปลูกมะเขือเทศในฤดูร้อน นอกจากจะใช้พันธุ์ทนร้อนแล้วจะต้องเอาใจใส่ดูแลรักษาอย่างประณีต โดยเฉพาะการให้น้ำทั้งนี้เพราะเมื่ออากาศร้อนและแห้ง ต้นมะเขือเทศต้องการน้ำมากกว่าในฤดูปลูกปกติถึง 2 เท่า และการระเหยน้ำจากดินเป็นไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงต้องมีการให้น้ำบ่อยครั้งขึ้น ถ้าเป็นการให้น้ำแบบฉีดพ่นฝอยควรให้ทุกวันตอนเช้า เพื่อให้ดินและอากาศรอบ ๆ แปลงปลูกมีความชื้นพอเพียง และเป็นการลดอุณหภูมิในแปลงปลูกลงด้วย
  3. การฉีดพ่นมารฮอร์โมนช่วยเร่งการติดตามผลและอาหารเสริม การใช้ฮอร์โมน 4-CPA (chloro phenoxy acetic acid) ความเข้มข้น 25 – 50 ppm. ช่วยให้เปอร์เซ็นต์การติดผลของมะเขือเทศเพิ่มขึ้น แต่ก่อนฉีดพ่นฮอร์โมนนี้จะต้องคำนึงถึงสภาพของต้นมะเขือเทศว่ามีความแข็งแรงพร้อมที่จะติดผลได้หรือไม่ (โดยสังเกตจากขนาดของก้านช่อดอก ถ้าก้านช่อดอกมีขนาดใหญ่แนวโน้มที่จะติดผลได้มีมากกว่าก้านช่อดอกที่มีขนาดเล็ก)  และช่วงที่ฉีดพ่นควรเป็นช่วงที่มีปริมาณดอกค่อนข้างมาก สารฮอร์โมนชนิดนี้ เมื่อฉีดพ่นถูกใบมักทำให้ใบผิดปกติม้วนงอ ใบยอดหดเล็กลง (การใช้สารฮอร์โมนช่วยให้ผลผลิตในมะเขือเทศพันธุ์ผลโต มักใช้พู่กันจุ่มฮอร์โมนป้ายตามช่อดอกไม่ให้ถูกใบ) ผลที่เติบโตขึ้นเป็นผลที่ไม่มีเมล็ด และบ่อยครั้งจะพบผลที่มีรูปร่างผิดปกติ จึงไม่ควรฉีดพ่นเกินกว่า 2 ครั้ง และควรฉีดพ่นในช่วงที่อากาศไม่ร้อน เช่น ตอนเช้ามืดหรือตอนเย็น อย่างไรก็ดีแม้ว่าสารฮอร์โมนจะช่วยให้เกิดการติดผลได้ แต่ถ้าสภาพต้นมะเขือเทศไม่สมบูรณ์ ก็ไม่สามารถทำให้ผลที่ติดแล้วเจริญเติบโตต่อไปเป็นผลที่มีรูปร่างปกติได้ จึงอาจจำเป็นต้องฉีดพ่นด้วยอาหารเสริมทางใบ และบำรุงด้วยปุ๋ยทางดินพร้อมกับให้น้ำอย่างทั่วถึง ซึ่งเป็นการช่วยให้ต้นมะเขือเทศสมบูรณ์ขึ้น มีอาหารส่งไปยังผลอย่างพอเพียง ผลจะเติบโตเป็นผลที่มีรูปร่างปกติต่อไป

       พันธุ์ปลูก

       พันธุ์มะเขือเทศที่ใช้ปลูกส่งโรงงานอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่มักจะเป็นพันธุ์ที่สั่งเข้าจากต่างประเทศ โดยโรงงานที่รับซื้อผลผลิตเป็นผู้จัดหามา  ส่วนพันธุ์มะเขือเทศผลเล็กสีชมพูสำหรับรับประทานสด เกษตรกรอาจเลือกซื้อได้จากร้านค้าเมล็ดพันธุ์ หรือเก็บเมล็ดพันธุ์เอง หรือสั่งซื้อเมล็ดพันธุ์จากศูนย์วิจัยและพัฒนาพืชผักเขตร้อนมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ซึ่งผลิตเมล็ดพันธุ์มะเขือเทศทนร้อนที่มีลักษณะผลสีชมพูคล้ายพันธุ์สีดาจำนวน 4 สายพันธุ์ คือ สีดาทิพย์ 1, สีดาทิพย์ 2, สีดาทิพย์ 3 และมะเขือเทศลูกผสมสีดาทิพย์ 92

 นอกจากนี้ศูนย์วิจัยและพัฒนาพืชผักเขตร้อนร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาพืชผักแห่งเอเชีย (AVRDC) ไต้หวัน นำพันธุ์มะเขือเทศผลเล็กจิ๋วหรือมะเขือเทศเชอรี่ เข้ามาปลูกทดสอบหลายพันธุ์ พันธุ์ที่น่าสนใจมากคือ CH154 และ CH 155 ซึ่งทั้ง 2 พันธุ์ มีการเจริญเติบโตแบบกึ่งเลื้อย ความสูงของต้น ประมาณ 100 – 150 ซม. มีกิ่งแขนง 6 – 10 แขนง อายุดอกบานประมาณ 40 – 45 วัน หลังจากหยอดเมล็ด ช่อดอกเกิดบนลำต้นเกือบทุกข้อ แต่ละช่อดอกมีดอกย่อย 8 – 15 ดอก ในฤดูหนาวสามารถติดผลได้มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ทำให้มีผลมากกว่า 300 ผลต่อต้น ผลผลิตประมาณ 4 – 5 ตันต่อไร่   รูปร่างผลยาวรี รสหวาน เนื้อแน่น มีเมล็ดน้อย ส่วนใหญ่ไม่มีเมล็ด ผลเริ่มสุกแดงประมาณ 50 วัน หลังจากย้ายปลูกหรือประมาณ 70 – 75 วันหลังจากหยอดเมล็ด   การเก็บเกี่ยวผลควรรอให้ผลสุกแดงจนสีผลเป็นสีเข้ม จะมีรสชาติหวานกว่าผลที่เพิ่งเริ่มสุก และเมื่อผลสุกแล้วสามารถปล่อยทิ้งไว้บนต้นได้นานถึง 20 วัน โดยผลไม่เน่าเละซึ่งเป็นข้อดีที่สามารถชลอการเก็บเกี่ยวผลผลิตออกไปได้ระยะหนึ่ง  มะเขือเทศเชอรี่พันธุ์ CH154 และ CH155 นี้ เป็นพันธุ์ผสมปล่อยสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ปลูกต่อไปได้ เมล็ดพันธุ์มีขนาดเล็กกว่ามะเขือเทศทั่วไปโดยน้ำหนักเมล็ด 1 กรัมมีจำนวนเมล็ดประมาณ  450 – 500 เมล็ด

       การปลูก

       การปลูกทำได้ 2 วิธี 

       

      1. เพาะกล้าแล้วย้ายปลูก   โดยเตรียมแปลงกล้าอย่างประณีต ยกแปลงสูงประมาณ 1 คืบ นำปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยหมักมาคลุกเคล้าประมาณ 1 – 2 บุ้งกี๋ ต่อ 1 ตารางเมตร ใช้เมล็ดประมาณ 30 – 40 กรัม หยอดลงบนแปลงยาว 10 เมตร กว้าง 1 เมตร จะได้ต้นกล้าพอสำหรับปลูกในพื้นที่ 1 ไร่ การหยอดเมล็ด ควรหยอดเป็นแถวห่างกันประมาณ 10 ซม. ลึกไม่เกิน 1 ซม. เมื่อหยอดเมล็ดแล้วกลบด้วยดินผสมปุ๋ยหมัก และคลุมแปลงด้วยฟางข้าว หรือ หญ้าแห้งบาง ๆ ในช่วง 3 วันแรก รดน้ำสม่ำเสมออย่าให้ผิวหน้าดินแห้ง และถ้าแดดจัดหรือฝนตกหนักต้องคลุมแปลงด้วยผ้าไนล่อนหรือผ้าพลาสติก เพื่อป้องกันเม็ดฝนกระแทกลำต้นหรือใบเป็นรอยซ้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ง่าย โรคที่สำคัญในแปลงกล้า คือ โรคโคนเน่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฝนตกติดต่อกัน ความชื้นในอากาศและที่ผิวดินสูง ป้องกันโดยนำเศษฟางหรือหญ้าที่ใช้คลุมแปลงออกให้หมด เพื่อให้แปลงกล้าโปร่งและการระบายอากาศดี แล้วฉีดพ่นด้วยยากันรา ในช่วงที่กล้ามะเขือเทศอายุประมาณ 17 – 22 วัน ควรลดปริมาณน้ำที่ให้ลง และให้กล้าได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่ ต้นกล้าจะแข็งแรง เหนียว ไม่อวบฉ่ำน้ำ ซึ่งมีผลให้กล้ารอดตายมาก หลังจากย้ายกล้า โดยทั่วไปการย้ายกล้าลงแปลงปลูกมักจะใช้กล้าอายุประมาณ 21 – 25 วัน หลังจากหยอดเมล็ดหรือเมื่อกล้ามีใบจริง 3 – 4 ใบ

  1. หยอดเมล็ดลงแปลงปลูกโดยตรง ใช้ในกรณีที่สามารถให้น้ำได้ง่าย แต่จะเสียเวลาและแรงงานในการดูแลรักษามากกว่า อีกทั้งต้องใช้เมล็ดพันธุ์มากขึ้นเป็น 80 – 100 กรัม ต่อไร่ สำหรับระยะปลูกที่เหมาะสม ควรใช้ระยะระหว่างแถว 1 เมตร ระยะระหว่างต้น 25 – 50 ซม. ปลูก 1 ต้นต่อหลุม ถ้าใช้ระยะปลูกแคบจะได้ผลผลิตต่อพื้นที่มากขึ้น แต่การควบคุมโรคและการปฏิบัติงานอื่นจะยุ่งยากขึ้นด้วย ในฤดูแล้งควรปลูกถี่ส่วนในฤดูฝนควรใช้ระยะปลูกห่าง เนื่องจากมะเขือเทศเจริญเติบโตดี มีทรงพุ่มสูงใหญ่กว่าฤดูอื่น ๆ

       การปฏิบัติดูแลรักษา

วัชพืชเป็นปัญหาอย่างมากในแปลงมะเขือเทศ เริ่มตั้งแต่ 2 สัปดาห์หลังจากย้ายปลูกหากปล่อยให้วัชพืชขึ้นในแปลง จะส่งผลท้าให้ทั้งปริมาณและคุณภาพของผลผลิตมะเขือเทศลดลง

      -การใช้แรงงาน หรือเครื่องมือกล การใช้มือถอน หรือใช้จอบถาก อาจท้า 1-2 ครั้ง ในช่วงระยะแรกของการเจริญเติบโตของผัก โดยเฉพาะวัชพืชที่ขยายพันธุ์ ด้วยหัว หรือเหง้า เช่น แห้วหมู ควรเก็บออกให้มากที่สุด

      – การคลุมแปลงปลูกด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง เพื่อรักษาความชื้นของดินและเป็นการป้องกันการชะล้างผิวหน้าดินเมื่อฝนตกหรือให้น้ำ นอกจากนี้ยังช่วยลดเปอร์เซ็นต์ผลเน่าและการระบาดของโรคทางใบ ซึ่งจะช่วยให้ผลผลิตเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 20 – 40 % แต่ฟางมักจะมีเชื้อราสเคอโรเธี่ยมติดมาด้วย ทำให้เกิดโรคเหี่ยวต้นแห้งตายไป การคลุมฟางจึงควรคลุมให้ห่างโคนต้น เพื่อไม่ให้โคนต้นมีความชื้นสูงเกินไป

       – การกำจัดวัชพืช ใช้สารเคมีชื่อ เมตริบูซิน หรือชื่อการค้าว่า เซงคอร์ อัตรา 80 – 120 กรัม (เนื้อสารบริสุทธิ์) หรือ 115 – 170 กรัม สารเซงคอร์ 70 % ต่อพื้นที่ปลูก 1 ไร่ ฉีดหลังจากย้ายกล้า ขณะที่ดินมีความชื้นอยู่ จะสามารถควบคุมวัชพืชใบแคบและใบกว้างบางชนิดได้ แต่ถ้ามีการพรวนดิน พูนโคนหลังจากใส่ปุ๋ยที่อายุ 20 และ 40 วัน ก็ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีควบคุมวัชพืช

       – การใส่ปุ๋ย

  1. ปุ๋ยรองพื้น ใช้ปุ๋ย 15 – 15 – 15 อัตรา 30 กก./ไร่ รองก้นหลุมพร้อมกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 2,000 กก./ไร่ และโบแรกซ์ 4 กก./ไร่
  2. ปุ๋ยแต่งหน้าที่อายุ 7 – 10 วัน หลังจากย้ายปลูก ใช้ปุ๋ย 46 – 0 – 0 หรือ 21 – 0 – 0 อัตรา 10 หรือ 20 กก./ไร่ ถ้าเปลี่ยนแปลงปลูกที่เคยปลูกผักกินใบ เช่น ผักชี มาก่อนควรใช้ปุ๋ย 13 – 13 – 21 แทน
  3. ปุ๋ยแต่งหน้าที่อายุ 21 – 25 วัน หลังจากย้ายปลูก ใช้ปุ๋ย 15 – 15 – 15 อัตรา 30 กก./ไร่
  4. ปุ๋ยแต่งหน้าที่อายุ 40 วัน หลังจากย้ายปลูก ใช้ปุ๋ย 13 – 13 – 21 อัตรา 30 กก./ไร่
  5. ปุ๋ยแต่งหน้าที่อายุ 60 วัน หลังจากย้ายปลูก ใช้ปุ๋ยชนิดและอัตราเดียวกับครั้งที่ 4 แต่ถ้าสภาพต้นมะเขือเทศค่อนข้างโทรมมีผลน้อยก็ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยครั้งที่ 5

       ในสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสมเช่น ร้อนเกินไปหรือมีฝนตกบ่อยทำให้ต้นมะเขือเทศไม่ค่อยสมบูรณ์ หรือมีอาการเฝือใบ อาจช่วยได้โดยการฉีดพ่นปุ๋ยทางใบสูตรต่าง ๆ ตามระยะการเจริญเติบโต เช่น ในระยะยังไม่ออกดอกอาจใช้ปุ๋ยใบสูตรเสมอ เช่น 25 – 25 – 25 ส่วนในระยะออกดอกแล้วควรใช้ปุ๋ยใบที่มีฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมสูง เช่น 10 – 23 – 20 หรือ 10 – 30 – 20 เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีปุ๋ยใบที่มีธาตุอาหารรองหลายชนิดอยู่ด้วย เช่น แมงกานีส เหล็ก สังกะสี โบรอน จะช่วยให้ต้นมะเขือเทศสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

       – การให้น้ำ ระยะที่มะเขือเทศต้องการน้ำมากคือ ช่วงแรกของการเติบโตและช่วงที่ผลกำลังขยายขนาด (ประมาณ 35 – 50 วัน หลังจากย้ายกล้า) สำหรับช่วงที่กำลังติดผล (20 – 35 วัน) ไม่ต้องการน้ำมากนักแต่ต้องการการพรวนดิน เพื่อให้รากเจริญเติบโตลงไปได้ลึก และรากกระจายทางด้านข้างได้สะดวก

       – การปักค้าง มีความจำเป็นมากเมื่อปลูกมะเขือเทศในฤดูฝน หรือ ปลูกด้วยพันธุ์ที่มีการเจริญเติบโตแบบเลื้อย การปักค้างแบบค้างเดี๋ยวหรือแบบกระโจม จะช่วยให้ผลผลิตของมะเขือเทศสูงขึ้นกว่าการไม่ปักค้าง 20 % และทำให้การฉีดยาป้องกันศัตรูพืช การเก็บเกี่ยว และการปฏิบัติงานอื่น ๆ ในแปลงสะดวกขึ้น นอกจากปักค้างแล้วต้องหมั่นผูกต้นมะเขือเทศติดกับค้างด้วย มิฉะนั้นแขนงที่เกิดใหม่จะเจริญเติบโตทอดไปกับดินทำให้ผลเน่าเสียหายได้

 การป้องกันกำจัดโรคที่สำคัญ โรคที่สำคัญได้แก่

      1.โรคกล้าเน่า-เน่าคอดินสาเหตุ (เชื้อรา Pythium perilum Drechsler) ราเข้าทำลายเมล็ด ทำให้เมล็ดเน่าทั้งที่ยังไม่งอก หรืองอกอยู่ในดิน ซึ่งทำให้สังเกตได้ยาก แต่หากเมล็ดงอกโผล่จากดินแล้วเจริญเป็นต้นกล้า ราเข้าทำลายที่ระดับดินโคนต้นกล้าเกิดอาการฉ่ำน้ำ ต้นกล้าล้มพับอยู่เหนือดิน แต่ใบเลี้ยงยังคงเขียว ไม่มีอาการเหี่ยว หากสภาพแวดล้อมเหมาะสม เช่น ความชื้นสูง จะทำให้ต้นกล้าเน่าเป็นหย่อมๆ ในแปลงกล้าหรือในกระบะเพาะกล้า

การป้องกันกำจัด : 1. แปลงเพาะกล้าควรย่อยดินให้ละเอียดและตากแดดเป็นเวลานานพอสมควรก่อนหว่านเมล็ด

  1. ไม่เพาะกล้าและรดน้ำในแปลงกล้ามากเกินไป
  2. แปลงกล้าควรมีการระบายน้ำได้ดี
  3. ใช้เมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ หรือคลุกเมล็ดด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช เช่น เมทาแลกซิล เพื่อควบคุมราที่อาจติดมากับเมล็ดและป้องกันการเข้าทำลายจากราอื่นที่อยู่ในดิน
  4. หากพบว่ามีการระบาดของโรค ให้รีบควบคุมราด้วยสารเคมี เมทาแลกซิล 25% ดับเบิ้ลยูพีอัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร และเก็บต้นกล้าที่เป็นโรคออกจากแปลง เพื่อน้าไปเผาทิ้งทำลาย

       2.โรคใบไหม้ สาเหตุ : เชื้อรา Phytophthora infestans มักเกิดกับใบล่างของต้น อาการใบไหม้ เริ่มแรกใบเป็นจุดช้ำสีเขียวเข้มและขยายขนาดออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนด้านล่างของใบเหมือนถูกน้ำร้อนลวก บนแผลพบเส้นใยและกลุ่มสปอร์สีขาวอยู่รอบ ๆ เมื่อเชื้อเจริญมากขึ้นใบจะแห้ง ในบางครั้งโรคแสดงอาการที่ส่วนของกิ่งและลำต้น โดยมีลักษณะเป็นจุดช้ำน้ำและมีแผลสีดำเช่นเดียวกับอาการที่ใบ ถ้าเกิดแผลที่โคนกิ่งจะทำให้ส่วนยอดของกิ่งแสดงอาการเหี่ยวเฉา เนื่องจากน้ำและอาหารส่งไปเลี้ยงส่วยยอดได้ไม่ หากมีการเข้าทำลายอย่างรุนแรงพืชจะตายภายใน 1สัปดาห์

การป้องกันกำจัด : 1. ถ้าปลูกมะเขือเทศแบบยกค้าง ควรตัดแต่งใบล่างให้โปร่ง

  1. เมื่อพบต้นที่แสดงอาการเป็นโรค ควรรีบถอนออกเผาทำลาย เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อราที่เป็น

สาเหตุโรคแพร่ระบาด

  1. ควรหลีกเลี่ยงการปลูกมะเขือเทศในบริเวณที่เคยมีโรคนี้ระบาด
  2. เมื่อเริ่มพบการระบาดของโรคควรใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชที่มีประสิทธิภาพ เช่น เมทาแลกซิล+แมนโคเซบ 72% ดับเบิ้ลยูพีอัตรา 70 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร

      โรคราแป้ง สาเหตุ : เชื้อรา Oidiopsis sp. ลักษณะอาการ : พบกลุ่มสปอร์และเส้นใยสีขาว-เทาบนผิวใบ ลักษณะเป็นผงสีขาวคล้ายแป้งฝุ่นหรือผงชอล์กปกคลุม อาการเริ่มแรกมักเป็นหย่อมๆ แล้วขยายจนเต็มใบ ถ้าเป็น รุนแรงจะทำให้ใบแห้งตาย อาการส่วนใหญ่มักเกิดกับใบอ่อนและยอดอ่อน ทำให้ได้รับความเสียหายมากกว่าส่วนที่เจริญเต็มที่แล้ว และในสภาพอากาศเย็นจะทำให้เชื้อลุกลามไปยังกิ่งได้

การป้องกันกำจัด : 1. ตัดแต่งกิ่ง ใบ ให้ทรงต้นโปร่ง และเก็บเศษซากพืชที่เป็นโรคเผาทำลายเพื่อลดแพร่กระจายของโรค

  1. ล้างทำความสะอาดอุปกรณ์ทุกครั้งที่ตัดแต่ง
  2. เมื่อเริ่มพบการระบาดของโรคควรใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืช เช่น ซัลเฟอร์ 80% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นทุก 5-7 วัน

      โรคใบหงิกเหลือง สาเหตุ : เชื้อไวรัส Tomato yellow leaf curl virus, TYLCV ใบอ่อนที่แตกใหม่มีขนาดเล็ก ขอบใบม้วนงอ ผิวใบไม่เรียบและมีสีเหลือง ต่อมาใบยอดเป็นพุ่มและหงิกเหลือง ช่อดอกฝ่อทำให้ดอกหลุดร่วงง่าย ถ้าเชื้อเข้าทำลายตั้งแต่ระยะต้นกล้าพืชแสดงอาการของโรคอย่างรุนแรง ต้นแคระแกร็น และไม่ติดดอก

การป้องกันกำจัด : 1. ถ้าพบต้นที่เป็นโรคควรถอนต้นพืชที่เป็นโรค เผาทำลายทิ้งทันที

  1. กำจัดพืชอาศัยชนิดอื่นในแปลงปลูก เพื่อกำจัดแหล่งสะสมของเชื้อและแมลงพาหะ
  2. ปลูกพืชหมุนเวียนที่ไม่ใช่พืชอาศัยของไวรัส

 การป้องกันกำจัดแมลงที่สำคัญ    แมลงศัตรูที่สำคัญมีดังนี้

      หนอนเจาะสมอฝ้าย (cotton bollworm)  หนอนชนิดนี้ เป็นแมลงศัตรูที่สำคัญของพืชผัก พืชไร่ และไม้ผลหลายชนิดเข้าทำลายมะเขือเทศโดยการกัดกินส่วนของ ดอก ใบ และเจาะผลมะเขือเทศ หนอน ขนาดใหญ่ (วัย 4-5) มีความต้านทานต่อสารฆ่าแมลงสูง

การป้องกันกำจัด 1. การใช้วิธีเขตกรรม เช่น การไถพรวนดินตากแดด เพื่อกำจัดดักแด้หนอนเจาะสมอฝ้ายที่อยู่ในดิน การทำลายซากพืชอาหาร ทำให้ช่วยลดการระบาดของหนอนเจาะสมอฝ้ายในการปลูกมะเขือเทศครั้งต่อไป

  1. การใช้วิธีกล เช่น เก็บหนอนไปทำลายจะช่วยลดการระบาดลงได้
  2. การใช้เชื้อแบคทีเรีย (บาซิลลัส ทูริงเยนซิส) ที่มีจำหน่ายเป็นการค้า ได้แก่ Bacillus thuringiensis subsp. aizawai หรือ Bacillus thuringiensis subsp. kurstakii อัตรา 60-80 กรัม/น้ำ 20 ลิตร พ่นทุก 5 วัน ในช่วงเวลาเย็น
  3. การใช้เชื้อไวรัส เอ็นพีวี (นิวคลีโอโพลีฮีโดรซิสไวรัส) หนอนเจาะสมอฝ้าย DOA BIO V2 (กรมวิชาการเกษตร) อัตรา 30 มล./น้ำ 20 ลิตร ในช่วงเวลาเย็นโดยผสมกับสารจับใบ
  4. การใช้สารฆ่าแมลงที่มีประสิทธิภาพการป้องกันกำจัด เช่น อินดอกซาคาร์บ 15% เอสซี หรือ สไปนีโทแรม 12% เอสซี หรือ  อีมาเมกตินเบนโซเอต 1.92% อีซี อัตรา 15, 20 และ 20 มล./น้ำ 20 ลิตร ตามล้าดับ

      แมลงหวี่ขาวยาสูบ (tobacco whitefly) แมลงหวี่ขาวยาสูบเป็นแมลงศัตรูที่สำคัญของมะเขือเทศ โดยตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณใบ และเป็นพาหะน้าโรคที่เกิดจากไวรัส ทำให้ใบหงิก ยอดไม่เจริญ ไม่ออกดอก และ ต้นมะเขือเทศแคระแกร็นไม่สมบูรณ์

การป้องกันกำจัด  1. คลุกเมล็ดก่อนเพาะกล้าด้วยสารคาร์โบซัลแฟน 25% เอสที อัตรา 40 กรัม/เมล็ด 1 กก.

  1. ใช้อิมิดาโคลพริด 10% เอสแอล หรือ ฟิโพรนิล 5% เอสซี อัตรา 40 และ 40 มล./น้ำ 20 ลิตร อย่างใดอย่างหนึ่งพ่นตามการระบาด

      แมลงวันหนอนชอนใบ (leaf miner flies) แมลงวันหนอนชอนใบมีหลายชนิด พืชผักหรือไม้ดอกบางชนิดที่ถูกทำลายเกิดจากตัวเต็มวัย ตัวเต็มวัยเป็นแมลงวันขนาดเล็ก วางไข่ภายในผิวใบ หนอนจะชอนไชอยู่ในใบทำให้เกิดเส้นสีขาวคดเคี้ยวไปมา ถ้าระบาดรุนแรง จะทำให้ใบร่วง เพศเมียวางไข่ที่มีขนาดเล็กภายในผิวพืช ตัวหนอนจะชอนไชอยู่ในใบทำให้เกิดรอยเส้นสีขาวคดเคี้ยวไปมา เมื่อน้าใบพืชมาส่องดูจะพบตัวหนอนตัวเล็ก ๆ สีเหลืองอ่อนโปร่งแสง ใส อยู่ภายในเนื้อเยื่อใบพืช หากระบาดรุนแรงจะทำให้ใบเสียหายร่วงหล่น

การป้องกันกำจัด  1. การใช้วิธีกล การเผาทำลายเศษใบพืชที่ถูกทำลายเนื่องจากหนอนชอนใบตามพื้นดิน จะสามารถช่วยลดการแพร่ระบาดได้ เนื่องจากดักแด้ที่อยู่ตามเศษใบพืชจะถูกทำลายไปด้วย

  1. การใช้สารสกัดสะเดาอัตรา 100 พีพีเอ็ม สามารถป้องกันและกำจัดหนอนชอนใบได้ดี
  2. การใช้สารฆ่าแมลงที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ เบตาไซฟลูทริน 2.5% อีซีหรือ ฟิโพรนิล 5% เอสซี อัตรา 30 มล. และ 20 มล./น้ำ 20 ลิตร ตามลำดับ

      หนอนกระทู้ผัก (common cutworm) หนอนกระทู้ผักเป็นแมลงศัตรูที่สำคัญของพืชเศรษฐกิจหลายชนิด หนอนวัยแรกเข้าทำลายเป็นกลุ่ม ต่อมาการทำลายรุนแรงขึ้น เนื่องจากเป็นหนอนที่มีขนาดใหญ่และกัดกินพืชอย่างรวดเร็ว กัดกินทั้ง ใบ ดอก ผล การทำลายมักเกิดเป็นหย่อมๆ ตามจุดที่ตัวเต็มวัยวางไข่และพบการระบาดได้ตลอดทั้งปี

การป้องกันกำจัด

  1. การใช้วิธีเขตกรรม เช่น การไถตากดิน และการเก็บเศษซากพืชอาหาร เพื่อฆ่าดักแด้และลดแหล่งสะสมและขยายพันธุ์
  2. การใช้กลวิธี โดยการเก็บกลุ่มไข่ และหนอนทำลายจะช่วยลดการระบาดลงได้
  3. การใช้สารจุลินทรีย์ เช่น การใช้เชื้อแบคทีเรีย (บาซิลลัส ทูริงเยนซิส) ได้แก่ Bacillus- thuringiensis subsp. aizawai หรือ Bacillus thuringiensis subsp. kurstaki การใช้เชื้อไวรัส (นิวคลีโอโพลีฮีโดรซิสไวรัส) หนอนกระทู้ผัก
  4. การใช้สารฆ่าแมลงที่มีประสิทธิภาพ เช่น คลอร์ฟินาเพอร์ (chlorfenapyr), อินดอกซาคาร์บ (indoxacarb), สไปนีโทแรม (spinetoram) ตามคำแนะนำในฉลาก

        การเก็บเกี่ยว เริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ที่อายุ 50-60 วันหลังปลูก โดยมะเขือ เทศที่ส่งขายโรงงานอุตสาหกรรมเก็บเมื่อผลยังคงสีเขียวและเริ่มเปลี่ยนสีและปลิดขั้วออก ส่วนมะเขือเทศที่ใช้รับประทานสดเก็บเมื่อผลสุกและให้มีขั้วผลกลุ่มไม่ทอดเลื้อย สามารถเก็บเกี่ยวได้พร้อมกันทั้งต้น กลุ่มทอดเลื้อย จะทยอยเก็บเกี่ยวได้นานต่อเนื่อง 2-3 เดือน

      

ที่มาข้อมูล : รู้จริงเรื่องพืช (กรมวิชาการเกษตร) , ศูนย์วิจัยและพัฒนาพืชผักเขตร้อน (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสน)

 

คำแนะนำการใช้ผลิตภัณฑ์ไร่เทพกับมะเขือเทศ

การใช้ดินเทพ

– ช่วงเตรียมดิน ยกแปลง           :         ดินเทพ 50 ซีซีผสมน้ำ 60 ลิตร ฉีดพ่นในพื้นที่ 1 ไร่ ก่อนย้ายกล้าลงแปลงปลูก

การใช้ไร่เทพ และโล่เขียว

– ระยะตั้งตัว (อายุ 7-10 วัน)           :          โล่เขียว 100 ซีซี + ไร่เทพ 1 ซอง ผสมน้ำ  150  ลิตร     ฉีดพ่นให้ทั่วแปลง  7-10 วัน

– ระยะเจริญทางลำต้น-ใบ (อายุ 10-25 วัน)  :  โล่เขียว 100 ซีซี+ไร่เทพ 1ซองผสมน้ำ 100-150 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วแปลง 7-10 วัน

– ระยะดอก-ผลเล็ก (อายุ 25-35 วัน)      :    โล่เขียว 100 ซีซี + ไร่เทพ 1 ซอง ผสมน้ำ  100  ลิตร      ฉีดพ่นให้ทั่วแปลง  7-10 วัน

– ระยะขยายผลสร้างเนื้อ (อายุ 35-50 วัน)   :   โล่เขียว 100 ซีซี + ไร่เทพ 1 ซอง ผสมน้ำ  100 ลิตร   ฉีดพ่นให้ทั่วแปลง  7-10 วัน

– ระยะเริ่มต้นเก็บเกี่ยว (อายุ 50-80 วัน)   :    โล่เขียว 100 ซีซี + ไร่เทพ 1 ซอง ผสมน้ำ  100 ลิตร   ฉีดพ่นให้ทั่วแปลง  7-10 วัน

 

.
😊ไร่เทพ คุณภาพขั้นเทพ
สารที่เป็นส่วนผสมสำคัญ
1. สารฮิวมิค (Humus หรือ Humic Substance )
2. ฟูลวิค แอซิด (Fulvic Acid)
3. อะมิโนจากสาหร่ายทะเล
4. อะมิโนจากเลือดปลา
5. สารพิเศษจากอิสราเอล
6. สารในกลุ่มอาหารพืชอื่นๆ
😊ไร่เทพ คุณภาพขั้นเทพ
สอบถามข้อมูล-เทคนิคการปลูกพืชชนิดต่างๆ เรามีทีมส่งเสริมการขายที่เชี่ยวชาญ พร้อมตอบคำถามเกษตรกรตลอดเวลา
🌾👀🌾🍅🍆🌽🍄🌰 🍇🍈🍉🍊🍋🍌🍍🍎🍏🍐
—————————-
Tel. : 098-280-8200
—————————-

เทคนิคการทำนาแกล้งข้าว

ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่ายนานาชาติด้านน้ำ และระบบนิเวศในนาข้าว (International Network for Water and Ecosystem in Paddy Fields, INWEPF) ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนข้อมูล  และประสบการณ์ที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำและระบบนิเวศที่เหมาะสมสำหรับนาข้าว  ประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ริเริ่มในการจัดตั้งเครือข่ายนี้เมื่อปีพ.ศ.2547  ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 17 ประเทศ ประกอบด้วย กัมพูชา บังกลาเทศ จีน เนปาล อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้          ศรีลังกา  เวียดนาม  อียิปต์  ปากีสถาน  อินเดีย และไทย

เทคนิคการทำนาแบบเปียกสลับแห้งแกล้งข้าว หรือ AWD (Alternative Wetting and Drying) เป็นหนึ่งในวิธีการประหยัดน้ำในการทำนาที่หลาย ๆ ประเทศนำไปเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ สำหรับประเทศไทยบริษัทสยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่นจำกัดเป็นหนึ่งในผู้นำ ที่ร่วมส่งเสริมให้กับเกษตรกรที่มีอาชีพทำนานำไปปฏิบัติอย่างได้ผล จนเป็นที่แพร่หลายและทุกภาคส่วนให้การยอมรับ การทำนาเปียกสลับแห้งแกล้งข้าวนั้นได้มีการศึกษาวิจัย  และพบว่าสามารถลดปริมาณการใช้น้ำในการทำนาได้ถึงร้อยละ28  ของปริมาณน้ำที่ใช้ในการทำนาแบบทั่วไป  ซึ่งโดยปกติจะใช้น้ำปริมาณ 1200 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ แต่ถ้าทำนาแบบแกล้งข้าวจะใช้น้ำเพียง 860ลูกบาศก์เมตรต่อไร่เท่านั้น นอกจากจะลดปริมาณการใช้น้ำแล้วยังช่วยลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยการใช้สารเคมี และน้ำมันเชื้อเพลิงทำให้ต้นทุนการผลิตข้าวลดลงจากไร่ละ ประมาณ 5600 บาท เหลือประมาณ 3400 บาท หรือราวร้อยละ 40 รวมทั้งยังทำให้คุณภาพของข้าวดีขึ้น เพิ่มผลผลิตสูงกว่าไร่ละ 1200 กิโลกรัม  เกษตรกรมีกำไรเพิ่มขึ้นและที่สำคัญทำให้คุณภาพชีวิตของชาวนาดีขึ้นเยาวชนรุ่นหลัง ๆ  จึงหันมาสนใจการทำนาซึ่งจะเป็นการรักษาพื้นที่ชลประทาน ให้คงที่เกิดความสามัคคีในชุมชนที่ไม่ต้องแย่งน้ำกันต่อไป

เทคนิคการทำนาเปียกสลับแห้งแกล้งข้าว

การทำนาแบบ “เปียกสลับแห้ง แกล้งข้าว” (Alternate Wetting and Drying : AWD) หรือเรียกอีกอย่างว่า การทำนาแบบใช้น้ำน้อย คือการปล่อยให้ข้าวขาดน้ำในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อเป็นการกระตุ้น ให้รากและลำต้นข้าวแข็งแรง โดยทั่วไปจะขังน้ำในแปลงนาที่ระดับความลึก 5 เซนติเมตร ในช่วงหลังปักดำ จนกระทั่งข้าวอยู่ในช่วงตั้งท้องออกดอกจึงจะเพิ่มระดับน้ำในแปลงอยู่ที่ 7-10 เซนติเมตร  ช่วงที่ปล่อยให้ข้าวขาดน้ำหรือแกล้งข้าวมี 2 ช่วงคือ

ครั้งที่ 1 ในช่วงเจริญเติบโตทางลำต้น (อายุข้าว 35-45 วัน) เป็นเวลา 14 วัน หรือจนกว่าระดับน้ำ ในแปลงนาจะลดลงต่ำกว่าผิวแปลง 10-15 เซนติเมตร หรือดินในแปลงนาแตกระแหง แล้วจึงปล่อยน้ำเข้านา

ครั้งที่ 2 ในช่วงข้าวแตกกอสูงสุด (อายุข้าว 60-65 วัน) เป็นเวลาอีก 14 วัน เช่นเดียวกัน หรือ จนกว่าระดับน้ำในแปลงนาจะลดลงต่ำกว่าผิวแปลง 10-15 เซนติเมตร หรือดินในแปลงนาแตกระแหงแล้วจึงปล่อยน้ำเข้านา

*** หมายเหตุ         – วิธีการทำนาเปียกสลับแห้งนี้ไม่เหมาะกับดินทรายและดินเค็ม  

– ควรหลีกเลี่ยงช่วงข้าวตั้งท้อง อย่าปล่อยให้น้ำแห้ง

– ข้าวแต่ละพันธุ์มีอายุแตกต่างกันตามชนิดและพื้นที่ปลูก

การทำนาเปียกสลับแห้งแกล้งข้าวส่งผลดีต่อข้าวดังนี้

1) ความชื้นที่โคนกอข้าวต่ำอุณหภูมิหน้าดินจะสูง ๆ ต่ำ ๆ ช่วยป้องกันการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล

2) ต้นข้าวไม่อวบน้ำ  ลำต้นแข็ง แตกกอดี  แตกรากใหม่มากขึ้นทำให้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมธาตุอาหาร

3) ลดการหักล้มของต้นข้าว และช่วยประหยัดน้ำได้  30 – 50  เปอร์เซ็นต์

4) จุลินทรีย์สามารถใช้ออกซิเจน สำหรับการย่อยสลายอินทรียวัตถุในดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขั้นตอนการดำเนินงาน

โดยทั่วไปการทำนาจะมีขั้นตอนอยู่ประมาณ 7-8 ขั้นตอน เริ่มจากการเตรียมดินไปจนถึงการดูแล รักษาต้นข้าวให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ รายละเอียดในแต่ละขั้นตอนมีดังนี้

การเตรียมดิน : ลดการเผาตอซังและปรับปรุงคุณภาพดินด้วยปุ๋ยพืชสด โดยก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิตให้หว่านปอเทืองในวันที่มีการเก็บเกี่ยว แล้วรถเกี่ยวจะกระจายฟาง เพื่อให้คลุมดินรักษาความชื้นไว้ และไม่ต้องทำการไถกลบเมล็ดปอเทืองก็จะงอกภายใน 3 วัน เมื่อปอเทืองออกดอก (50-60 วันหลังหว่าน) จึงทำการไถกลบเป็นปุ๋ยพืชสดต่อไป การเตรียมดินเมื่อปอเทือง ออกดอกจะทำการไถกลบ หมักเทือกโดยใช้สารชีวภาพเร่งการย่อยสลายของปอเทือง ฟางข้าว และเศษวัชพืช โดยปกติฟางข้าวจะย่อยเองได้ 15-20 วัน แต่หากใช้สารชีวภาพช่วยเร่งจะย่อยได้ 7 วัน

การเตรียมเมล็ดพันธุ์ : โดยทั่วไปการเตรียมเมล็ดพันธุ์คุณภาพประมาณ 10-20 กิโลกรัม/ไร่ แช่เมล็ดพันธุ์ด้วยเชื้อราไตรโครเดอมาร์ นาน 24 ชั่วโมง บ่มเมล็ดพันธุ์ไว้ 1 วัน แล้วนำไปหว่าน

การหว่านเมล็ดพันธุ์ : ระบายน้ำออกให้หมด แล้วหว่านเมล็ดพันธุ์ที่เตรียมไว้ด้วยเครื่องมือให้สม่ำเสมอ

1- อายุข้าวได้ 1 วัน ฉีดยาคุมวัชพืช    2- ถ้าพื้นที่ตรงไหนไม่เสมอ มีน้ำขังข้าวจะไม่งอกจึงใช้เชื้อราไตรโครเดอร์มา ใส่ทำให้ข้าวงอก ดีไม่ตาย    3- การผลิตเป็นเมล็ดพันธุ์จะต้องไม่มีการซ่อมข้าวเพราะ จะทำให้การสุกแก่ของเมล็ดพันธุ์ไม่สม่ำเสมอ

การเพาะกล้า(นาดำ)   1- ควรเพาะกล้าก่อนปลูกไม่เกิน 20 วัน และเมื่อถอนกล้าไปปลูกรากข้าวจะต้องได้รับการ กระทบกระเทือนน้อย      2- แช่เมล็ดพันธุ์ นาน 12-24 ชั่วโมง ในน้ำอุ่น 35-40 องศาเซลเซียส จะดีที่สุดหรือตามแบบที่เคยทำมาหากมีปัญหาเรื่องบั่ว ขอแนะนำให้แช่เมล็ดพันธุ์ด้วยน้ำสะเดา

การขนย้ายกล้า   1- ย้ายต้นอ่อนเมื่ออายุไม่เกิน 20 วัน หากปลูกต้นกล้าที่แก่กว่านี้การผลิตหน่อ หรือแตกหน่อจะลดลง     2- ควรถอนต้นกล้าเบาๆ เพื่อรบกวนต้นกล้าน้อยที่สุด คอยระวังอย่าให้ต้นกล้าหลุดออกจาก เมล็ด และให้มีดินเกาะรากไว้บ้าง   3- ให้ขนย้ายต้นกล้าไปยังแปลงปลูกทันที แล้วปักดำไม่เกินครึ่งชั่วโมงหลังจากถอนต้นกล้า ทั้งนี้เพื่อไม่ให้รากต้นกล้าแห้ง   4-ให้ถอนต้นกล้าและขนย้ายอย่างเบามือ อย่าให้ช้ำ อย่าล้างราก อย่าทิ้งไว้กลางแดด เพราะต้นกล้าอ่อน ๆ เป็นสิ่งมีชีวิตที่บอบบางมาก หากต้นกล้าได้รับการสัมผัสเบา ๆ การเติบโตจะไม่ชะงัก และใบจะไม่เหลือง

การดำนาหรือปักดำ  1- ปักดำต้นกล้าทีละต้นจะให้ผลดีที่สุด เพราะต้นข้าวจะแย่งอาหาร น้ำ และแสงแดดกัน        2- ปลูกเป็นรูปตาราง 40×40 หรือ 33×33 หรือ 25×25 เซนติเมตร (ดินเลวปลูกถี่ ดินดีปลูกห่าง) เพื่อให้ต้นกล้าอยู่ห่างกัน ให้รากได้แผ่กว้างและได้รับแสงแดดมากขึ้น อีกทั้งยังสะดวกในการกำจัดวัชพืชระหว่างแถวและระหว่างต้น    3- การปลูกระยะ 40×40 เซนติเมตร จะปลูกได้เร็วกว่าเหมาะกับแปลงใหญ่ๆ ซึ่งง่ายต่อการกำจัดวัชพืช และเน้นประหยัดเมล็ดพันธุ์   4- เผื่อต้นกล้าไว้ปักที่ขอบแปลง เอาไว้แทนต้นกล้าที่ตายหรือเสียหาย

การควบคุมน้ำในแปลงนา  :  การควบคุมน้ำในแปลงนา  

1- ขณะดำนาให้ใช้น้ำแต่น้อย โดยให้น้ำมากพอที่จะทำ ให้ดินเป็นโคลนเท่านั้น   

2- เมื่อข้าวเริ่มตั้งตัวหลังจากปักดำประมาณ 10 วัน เติมน้ำเข้านาให้ท่วมสูงจากดินไม่เกิน  5 เซนติเมตร

3- ขณะที่ข้าวแตกกอสามารถทำให้นาแห้งได้ 2 ครั้ง   · ครั้งที่ 1 ในช่วงเจริญเติบโตทางลำต้น (อายุข้าว 35-45 วัน) เป็นเวลา 14 วัน หรือ จนกว่าระดับน้ำในแปลงนาจะลดลงต่ำกว่าผิวแปลง 10-15 เซนติเมตร หรือดินในแปลงนาแตกระแหง แล้วจึงปล่อยน้ำเข้านา   · ครั้งที่ 2 ในช่วงข้าวแตกกอสูงสุด (อายุข้าว 60-65 วัน) เป็นเวลาอีก 14 วัน เช่นเดียวกัน หรือจนกว่าระดับน้ำในแปลงนาจะลดลงต่ำกว่าผิวแปลง 10-15 เซนติเมตร หรือดินในแปลงนาแตกระแหงแล้วจึงปล่อยน้ำเข้านา   

4- หลังจากหน้าดินแตก ก็ค่อยใส่ปุ๋ยลงไปในนา ปุ๋ยจะลงไปในรอยแตก ทำให้รากข้าวดูดซึม สารอาหารได้เต็มที่   

5- เมื่อข้าวเริ่มออกรวงปล่อยให้น้ำท่วม 7-10 เซนติเมตร **หากข้าวขาดน้ำในระยะนี้เมล็ดจะลีบ และผลผลิตลดลง   

6- ปล่อยน้ำออกจากนาก่อนเก็บเกี่ยว 15-20 วัน 

*** ข้อเท็จจริง*** การปล่อยให้ผืนนาแห้งจนดินแตกในช่วงที่ต้นข้าวเจริญเติบโตนั้น ช่วยให้ข้าวได้รับแสงแดดอย่าง เพียงพอ รากได้รับออกซิเจนมากขึ้น มีการเกิดรากใหม่หาอาหารได้มากขึ้น ข้าวมีการแตกกอดี ต้นข้าวแข็งแรง ต้านทานโรคและแมลง มีไส้เดือนมาช่วยย่อยอินทรียวัตถุในนา

การดูแลรักษา

การกำจัดวัชพืช : ควรมีการกำจัดวัชพืชอย่างน้อย 3 ครั้ง อาจใช้เครื่องทุ่นแรงที่ผลิตจากโรงงาน (Rotary Weeder) หรือประดิษฐ์ขึ้นมาเอง หรือถอนด้วยมือก็ได้ ในการกำจัดวัชพืชต้องใช้เวลา และแรงงานมากพอสมควร แต่ในการกำจัดวัชพืชแต่ละครั้งช่วยให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นในระดับที่คุ้มกับการลงทุน เพราะทำให้อากาศเข้าไปในดินได้มากซึ่งเป็นเหตุให้รากข้าวได้รับ ออกซิเจนโดยตรง มีผลต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว

การควบคุมและกำจัดศัตรูพืช : การทำนาเปียกสลับแห้งทำให้ต้นข้าวแข็งแรงสมบูรณ์สามารถต้านโรคและศัตรูพืชได้ดีกว่านาน้ำขัง ทั่วไป วิธีการป้องกันและกำจัดศัตรูพืชโดยวิธีทางธรรมชาติมีดังนี้

1- แมลงและโรคบางชนิดใช้สารธรรมชาติ เช่นสะเดาป้องกันและกำจัดได้  2- ปู ให้ใช้เมล็ดมะขาม, ดอกทองกวาว, ยอดมันสำปะหลัง, กับดัก   3- หอยเชอรี่ใช้กับดักและสมุนไพรบางชนิดฉีดพ่น   4- การใช้แหนแดง เพื่อคลุมหน้าดินป้องกันวัชพืช เป็นปุ๋ยพืชสด ตรึงไนโตรเจนในอากาศและเป็นอาหารเป็ด    5- การเลี้ยงเป็ดในนาเพื่อให้กินแมลง วัชพืช หอยเชอรี่ รบกวนแหล่งที่อยู่แมลงศัตรูพืชในนา ย่ำหญ้า ( โดยปล่อยเป็ดเข้านาหลังปักดำแล้ว 4 สัปดาห์ )

การใช้สารชีวภัณฑ์ต้านโรคและแมลง   

1- ข้าวอายุ 1-20 วัน จะมีเพลี้ยไฟเป็นศัตรู (ถ้ามี) ใช้เชื้อราบิวเวอร์เรีย อัตรา 1 ถุง/น้ำ 25 ลิตร ฉีด พ่นให้ทั่วแปลง  

2- ข้าวอายุ 20-40 วัน จะมีหนอนเป็นศัตรู  (ถ้ามี) ใช้เชื้อบีที อัตรา 50 ซีซี และผสมเชื้อราไตร โครเดอร์มา อัตรา 1 ถุง/น้ำ 25 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วแปลง    

3- ข้าวอายุ 50-90 วัน จะเป็นเชื้อรา  (ถ้ามี) ใช้เชื้อราไตรโครเดอร์มา อัตรา 1 ถุง/น้ำ 25 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วแปลง 

4- ข้าวอายุ 50-90 วัน จะมีเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลเป็นศัตรู (ถ้ามี) ใช้เชื้อราบิวเวอร์เรีย และเชื้อราเมตาไรเซียม อัตรา 1 ถุง/น้ำ 25 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วแปลง

การให้ปุ๋ย :  ครั้งที่1  ข้าวอายุ 20 วัน ให้ปุ๋ยสูตร 46-0-0 จำนวน 5 กิโลกรัม/ไร่ สูตร 18-46-0 จำนวน 8 กิโลกรัม/ไร่ และสูตร 0-0-60 จำนวน 9 กิโลกรัม/ไร่    

ครั้งที่2  ข้าวอายุ 50-55 วันแต่ที่สำคัญต้องนำต้นที่สมบูรณ์ที่สุดมาผ่าต้นดูถ้าในโคน ต้นคล้ายขนนกแปลว่าข้าวเริ่มสร้างรวง ให้ใส่ปุ๋ยได้ทันทีเพราะเป็นระยะที่เราสามารถเพิ่มปริมาณเมล็ด ของข้าวในแต่ละรวงได้ แต่ถ้าดูที่อายุข้าวอาจจะเป็นการใส่ปุ๋ยไม่ตรงช่วง เพราะการฉีดสารกำจัดวัชพืชและการให้น้ำแต่ละครั้งทำให้ข้าวมีการเปลี่ยนแปลงการออกรวง และเพิ่มปริมาณผลผลิตของข้าวแต่ละฤดูกาลได้ ให้ปุ๋ยสูตร 21-0-0 จำนวน 5 กิโลกรัม/ไร่  สูตร 46-0-0 จำนวน 5 กิโลกรัม/ไร่  สูตร 18-46-0 จำนวน 8 กิโลกรัม/ไร่ และ สูตร 0-0-60 จำนวน 9 กิโลกรัม/ไร่  

ครั้งที่3 ให้ดูข้าวมีความสมบูรณ์แค่ไหนถ้าไม่สมบูรณ์ให้ใส่ สูตร 46-0-0 ประมาณ 4 กิโลกรัม/ไร่ หรือตามความเหมาะสม *** หมายเหตุ การฉีดสารป้องกันกำจัดโรคแมลงจะต้องสำรวจระบบนิเวศก่อนทุกครั้ง ถ้าไม่ถึงขั้นระบาดก็ไม่ต้องฉีด การใช้สารชีวภัณฑ์จะฉีดเวลาตอนเย็น

 

วางแผนการดำเนินการ : วิธีการทำนาแกล้งข้าว หลังจากการปักดำจะทำการขังน้ำในแปลงนาที่ระดับ 5 เซนติเมตร  เหนือผิวดิน และทำการปล่อยให้น้ำในแปลงแห้ง จำนวน 2 ครั้ง

ครั้งแรกหลังปักดำเมื่อต้นข้าวอายุ 35-45 วันจะหยุดส่งน้ำเข้าแปลง และปล่อยให้น้ำแห้งจนระดับน้ำแห้งต่ำกว่าผิวดิน 15 เซนติเมตร หรือไม่ให้น้ำจนครบจำนวน 14 วัน แล้วจึงส่งน้ำกลับมาที่ระดับ 5 เซนติเมตรเหนือผิวดิน                                                ครั้งที่ 2 เมื่อต้นข้าวอายุ 55-65 วัน จะปล่อยให้น้ำแห้งต่ำกว่าผิวดิน 15 เซนติเมตร หรือไม่ให้น้ำจนครบ 14 วัน แล้วจึงส่งน้ำกลับมาที่ระดับ 5 เซนติเมตรเหนือผิวดินอีกครั้ง และเมื่อถึงระยะที่ข้าวออกดอกประมาณร้อยละ75 ของแปลงจะส่งน้ำเพื่อให้ระดับน้ำในแปลงนาสูงขึ้นอยู่ที่ ระดับ 7-10 เซนติเมตรเหนือผิวดิน และเมื่อข้าวเริ่มสุกจะหยุดส่งน้ำ และระบายน้ำออกจากแปลงก่อนเก็บ เกี่ยวประมาณ 15 วัน

วิธีการให้น้ำแปลงเพาะปลูก

: จัดทำกระบอกวัดระดับน้ำหรือท่อแกล้งข้าวโดยใช้ท่อ PVC อย่างหนา ขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 4 นิ้ว สูง 30 เซนติเมตร เจาะรูโดยรอบ 40รู โดยเว้นระยะ 5 เซนติเมตรที่ปลายขอบด้านบน และช่วงความลึก เมื่อนำไปฝังลงไปในแปลงนา  กดให้ท่อจมลงไปในดินให้เสมอกับส่วนที่เจาะรู หรือประมาณ 25 เซนติเมตร โดยจะเหลือส่วนที่ไม่เจาะรูอยู่เหนือผิวดิน 5 เซนติเมตร

 

การรวบรวมข้อมูล

1- บันทึกจำนวนครั้งที่ส่งน้ำ ระดับหรือปริมาณน้ำที่ส่งและระบายน้ำทุกครั้ง

2- บันทึกข้อมูล วัน  ชื่อสารและอัตราการใช้สารเคมี หรือชีวภัณฑ์ การใช้ปุ๋ยเคมีสูตรต่าง ๆ และปริมาณการใช้ การใส่ปุ๋ยอินทรีย์ และสารต่าง ๆ ฉีดพ่นทางใบ และอื่น ๆ

3- วัดองค์ประกอบผลผลิตดังนี้ จำนวนต้นต่อกอ  ความสูงของต้นข้าว  น้ำหนักผลผลิตจากตัวอย่างกอข้าว จำนวน 10 จุด น้ำหนักข้าวทั้งหมดหลังเก็บเกี่ยวทั้งแปลง

4- ทำบัญชีบันทึกต้นทุนการผลิตตลอดการเพาะปลูก

   อ้างอิง   :   กรมการข้าว , สำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทาน

   คำแนะนำการใช้ผลิตภัณฑ์ไร่เทพกับนาข้าว

การใช้ดินเทพ

– ช่วงเตรียมแปลง ทำเทือก    :    ดินเทพ 50 ซีซีผสมน้ำ 60 ลิตร ฉีดพ่นในพื้นที่ 1 ไร่ แล้วทำการปั่นดิน ลูบเทือก

การใช้ไร่เทพ และโล่เขียว

– ระยะต้นกล้า                   :    โล่เขียว 100 ซีซี + ไร่เทพ 1 ซอง ผสมน้ำ  200 ลิตร  ฉีดพ่นให้ทั่วแปลง  10-15 วัน

– ระยะแตกกอ                   :    โล่เขียว 100 ซีซี + ไร่เทพ 1 ซอง ผสมน้ำ  150-200 ลิตร  ฉีดพ่นให้ทั่วแปลง  10-15 วัน

– ระยะสร้างรวงอ่อน          :    โล่เขียว 100 ซีซี + ไร่เทพ 1 ซอง ผสมน้ำ  100-150 ลิตร  ฉีดพ่นให้ทั่วแปลง  10-15 วัน

– ระยะข้าวตั้งท้อง             :    โล่เขียว 100 ซีซี + ไร่เทพ 1 ซอง ผสมน้ำ  100 ลิตร  ฉีดพ่นให้ทั่วแปลง  10-15 วัน

– ระยะก่อนเก็บเกี่ยว         :    โล่เขียว 100 ซีซี + ไร่เทพ 1 ซอง ผสมน้ำ   100 ลิตร  ฉีดพ่นให้ทั่วแปลง  10-15 วัน

 

.
😊ไร่เทพ คุณภาพขั้นเทพ
สารที่เป็นส่วนผสมสำคัญ
1. สารฮิวมิค (Humus หรือ Humic Substance )
2. ฟูลวิค แอซิด (Fulvic Acid)
3. อะมิโนจากสาหร่ายทะเล
4. อะมิโนจากเลือดปลา
5. สารพิเศษจากอิสราเอล
6. สารในกลุ่มอาหารพืชอื่นๆ
😊ไร่เทพ คุณภาพขั้นเทพ
สอบถามข้อมูล-เทคนิคการปลูกพืชชนิดต่างๆ เรามีทีมส่งเสริมการขายที่เชี่ยวชาญ พร้อมตอบคำถามเกษตรกรตลอดเวลา
🌾👀🌾🍅🍆🌽🍄🌰 🍇🍈🍉🍊🍋🍌🍍🍎🍏🍐
—————————-
Tel. : 098-280-8200
—————————-

 

ปลูกอ้อย คั้นน้ำ

ปลูกอ้อย คั้นน้ำ

พันธุ์อ้อยคั้นน้ำที่เรานิยมนำมาใช้ในอุตสาหกรรมน้ำอ้อยสดในประเทศไทยเรานั้นมีพันธุ์หลัก ๆ คือพันธุ์สุพรรณบุรี 50 และ พันธุ์สิงคโปร์ เมื่อปี 2562 กรมวิชาการเกษตรได้มีการเปิดตัวพันธุ์อ้อยคั้นน้ำ คือพันธุ์ศรีสำโรง 1 และล่าสุดวันที่ 12 กรกฎาคม 2565 ได้ทำการเปิดตัวอ้อยคั้นน้ำโดยใช้ชื่อพันธุ์ ว่า “กวก. สุพรรณบุรี 1 ซึ่งส่วนใหญ่แล้วหากจะพิจารณาเลือกพันธุ์มาปลูก ต้องคำนึงถึงความหวาน สีและความหอมของกลิ่น โดยความหวานที่เหมาะสม คือ 13-17 องศาบริกซ์

พันธุ์อ้อย กวก.สุพรรณบุรี 1 ศูนย์วิจัยพืชไร่สุพรรณบุรีสถาบันวิจัยพืชไร่และพืชทดแทนพลังงาน เป็นหน่วยงานของกรมวิชาการเกษตรที่ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาทั้งด้านพันธุ์ และเทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสมของอ้อย ได้ทำการวิจัยและพัฒนาในระหว่างปี 2547-2564 รวมระยะเวลา 17 ปี ตั้งแต่กระบวนการผสมพันธุ์ คัดเลือกพันธุ์ และประเมินผลผลิตขั้นต่าง ๆ เพื่อศึกษาข้อมูลด้านผลผลิต และคุณภาพน้ำอ้อยในแปลงทดลองหน่วยงานเครือข่ายของกรมวิชาการเกษตร และในไร่เกษตรกรที่เป็นพื้นที่ปลูกอ้อยคั้นน้ำที่สำคัญของประเทศไทย จนถึงการประเมินความพึงพอใจและการยอมรับจากเกษตรกรผู้ผลิต จำหน่าย และบริโภค จนประสบผลสำเร็จ ได้อ้อยคั้นน้ำพันธุ์ใหม่ผ่านการรับรองพันธุ์พืชจากคณะกรรมการวิจัยปรับปรุงพันธุ์พืช กรมวิชาการเกษตร เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2565 ใช้ชื่อพันธุ์ว่า “กวก.สุพรรณบุรี 1” มีลักษณะเด่นคือ ให้ผลผลิตน้ำอ้อยเฉลี่ย 3622 ลิตรต่อไร่ สูงกว่าพันธุ์สุพรรณบุรี 50 ร้อยละ 26 ให้ผลผลิตอ้อยเฉลี่ย 11.43 ตันต่อไร่ สูงกว่าพันธุ์สุพรรณบุรี 50 ร้อยละ 21 สีน้ำอ้อยมีสีเหลืองอมเขียว กลิ่นหอม รสชาติหวาน มีความหวาน 21.54 องศาบริกซ์

อ้อยพันธุ์สิงคโปร์ หรือที่เรียกกันว่าอ้อยสำลี เป็นพันธุ์ที่เกษตรกรไทยเราใช้ปลูกกันมายาวนานมากว่า 30-40 ปี ให้ผลผลิตอ้อยที่มีผิวเนื้ออ่อน ชานอ้อยนิ่มเมื่อหีบออกมาแล้วจะได้น้ำอ้อยสดสีเหลืองปนเขียว กลิ่นหอม และมีความหวาน 13-15 องศาบริกซ์ ต้นอ้อยที่ได้จะมีลำสีเหลืองแก่ ปล้องสั้นระหว่างปล้องจะมีลำนูนป่อง คล้ายข้าวต้มมัด มีใบสีเขียว แตกกอประมาณกอละ 3-4 ลำ ไม่สามารถไว้ตอได้ ไม่ต้านทานโรคลำต้นเน่าแดง สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในช่วงระยะเวลา 8 เดือน สามารถปลูกได้ดีในบริเวณที่ลุ่ม

พันธุ์สุพรรณบุรี50 เป็นพันธุ์ที่กรมวิชาการเกษตรได้พัฒนาขึ้น เพื่อแก้จุดด้อยที่มีในพันธุ์สิงคโปร์ โดยพันธุ์สุพรรณบุรี 50 เป็นอ้อยคั้นน้ำที่ให้ความหวาน สี และกลิ่นได้ดีกว่าพันธุ์สิงคโปร์ และยังสามารถไว้ตอได้ถึง 4 ครั้ง แตกกอได้มากถึงกอละ 5-6 ลำและยังมีการปรับตัวสภาพแวดล้อมได้ดีปลูกได้ทั้งที่ลุ่มและที่ดอน และยังต้านทานต่อโรคลำต้นเน่าแดง โดยมีอายุการเก็บเกี่ยวเท่ากันกับพันธุ์สิงคโปร์คือ 8 เดือน แต่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงกว่า โดยให้ผลผลิตถึงไร่ละ 4,600-5,200 ลิตร เทียบกับพันธุ์สิงคโปร์ที่ให้ผลผลิตไร่ละ 2,100-2,800 ลิตร และยังให้ความหวานได้ถึง 15-17 องศาบริกซ์ ทำให้เพื่อนเกษตรกรหลายพื้นที่หันมาปลูกอ้อยคั้นน้ำพันธุ์นี้มากยิ่งขึ้น เพราะได้ผลผลิตสูงและยังสามารถลดต้นทุนได้ เพราะสามารถไว้กอได้  ส่วนพันธุ์ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ล่าสุดคือพันธุ์ศรีสำโรง 1 นั้น เป็นพันธุ์ที่พัฒนาขึ้นมาให้เหมาะสมกับสภาพการปลูก ในเขตภาคเหนือตอนล่าง โดยมีผลผลิตมากกว่าพันธุ์สุพรรณบุรี 50 โดยให้ผลผลิตถึงไร่ละ 5,647 ลิตรและมีความหวานถึง 17.1 องศาบริกซ์ ส่วนของสีและความหอมนั้นเป็นที่ยอมรับของเกษตรกรและตลาด  อ้อยสุพรรณบุรี 50 เป็นพันธุ์อ้อยคั้นน้ำ ที่ได้จากการผสมสายพันธุ์ของอ้อยพันธุ์ SP074 ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่สุพรรณบุรี 2533 เสร็จสิ้นการทดลอง ในปี 2539 ลักษณะประจำพันธุ์ มีใบขนาดใหญ่ ปลายใบโค้ง ลำต้นมีสีเขียวอมเหลือง ปล้องมีรูปร่างทรงกระบอก ค่อนข้างยาว ไม่มีร่องเหนือตา ตามีรูปร่างกลม มีวงเจริญสีเหลืองและนูน ข้อโปน แตกกอดี เจริญเติบโตเร็ว

การปลูกอ้อย : อ้อยเป็นพืชจัดอยู่ตระกูลหญ้า มีแหล่งกำเนิดที่เกาะนิวกินี ในมหาสมุทรแปซิฟิค ลักษณะภายนอกประกอบด้วยลำต้นที่มีข้อปล้องชัดเจนมีใบเกิดสลับข้างกัน มีส่วนกาบใบหุ้มต้นไว้ โดยกาบใบจะมีไขและขนอยู่ด้วย รากอ้อยเป็นระบบรากฝอยแต่แข็งแรง สามารถหยั่งลงไปในดินได้ลึก ลำต้นอ้อยสามารถแตกหน่อได้จากตาของข้อด้านล่างๆที่อยู่ชิดดิน

อ้อยจัดเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อนและกึ่งร้อน มีปริมาณน้ำฝนและแสงแดดจัด และเจริญเติบโตได้ดีในอุณหภูมิที่สูงกว่า 20 องศาเซลเซียส โดยมีการกระจายของน้ำฝนสม่ำเสมอ ต้องมีปริมาณน้ำฝน 1500 มิลลิเมตรต่อปี อ้อยขึ้นได้ดีในดินเกือบทุกชนิด ที่มีอากาศและน้ำถ่ายเทได้สะดวก เพราะต้นอ้อยในช่วงเล็กไม่ทนต่อสภาพน้ำท่วมขังได้ ดินที่ปลูกจะต้องมีสภาพความเป็นกรด – ด่างที่เหมาะสม มีอินทรียวัตถุและมีธาตุอาหารที่สมบูรณ์

การเลือกพื้นที่ปลูกอ้อย : ควรเป็นพื้นที่ดอน น้ำไม่ท่วมขังหรือพื้นที่ราบ มีหน้าดินลึกอย่างน้อย 20นิ้ว ดินมีความอุดมสมบูรณ์ดี เป็นพื้นที่ในเขตชลประทานการคมนาคมขนส่งสะดวก

การเตรียมดิน : การเตรียมดินเป็นสิ่งสำคัญในการปลูกอ้อย เพราะอ้อยมีระบบรากยาวประมาณ 4 เมตร เมื่อปลูกแล้วสามารถรักษาไว้ได้หลายปี เป็นการแตกหน่อใหม่เป็นอ้อยตอ การเตรียมดินที่ดีปฏิบัติดังนี้

1.การไถ ควรไถอย่างน้อย 2 ครั้งและไถขณะที่ดินมีความชื้น พอเหมาะควรไถลึกไม่ต่ำกว่า 20 นิ้ว จะช่วยให้รากหยั่งลึก แข็งแรงและเจริญเติบโตได้ดี ถ้าชั้นล่างเป็นดินดานควรไถระเบิดดินดานก่อนปลูก

2.การปรับพื้นที่ การปรับระดับพื้นที่จะช่วยในการระบายน้ำท่วมขัง คือการไถหน้าดินมากองรวมกัน แล้วปรับระดับดินให้ได้ระดับเดียวกัน และเกลี่ยปรับหน้าดินให้เสมอทั่วทั้งแปลง อาจมีการเติมอินทรียวัตถุต่าง ๆในพื้นที่ ๆ ดินไม่ดี ประมาณ 1-2 ตัน/ไร่ เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ของดิน

3.การเลือกพันธุ์อ้อย การเลือกพันธุ์อ้อยควรมีการพิจารณารายละเอียดดังนี้

 มีการเลือกพันธุ์อายุเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม เช่น พันธุ์กลาง พันธุ์หนัก พันธุ์เบา  ให้ผลผลิตต่อไร่มาก และค่าความหวานสูง กลิ่นหอม รสชาติดี  มีความต้านทานต่อโรคและแมลง  มีความเหมาะสมกับพื้นที่ปลูก และสามารถไว้ตอได้ 2-3 ปี

ฤดูการปลูกอ้อยและวิธีการดูแลบำรุงรักษา

ฤดูกาลปลูกแบ่งเป็น 2 ฤดูคือ  1) ต้นฤดูฝน เขตชลประทานระหว่างเดือนกุมภาพันธุ์ – เดือนเมษายน

2) ปลายฤดูฝนเน้นการปลูกอ้อยข้ามแล้ง เดือนตุลาคม – เดือนธันวาคม ในพื้นที่ ๆ เป็นดินร่วนปนทราย

วิธีการปลูกอ้อย : 1.ยกร่องปลูกให้มีระยะระหว่างร่อง 1.0-1.5 เมตร ถ้าปลูกปลายฤดูฝน ยกร่องแล้วควรปลูกทันที เพื่อรักษาความชื้นในดิน

2.รองพื้นร่องปลูกด้วยอินทรีย์วัตถุ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ที่ผ่านการหมักไว้จนได้ที่ แล้วลอกกาบใบอ้อย ใช้มีดสับท่อนละ 2-3ตา แล้วนำไปวางเรียงปลูกเป็นระยะในร่องปลูกที่เตรียมไว้ ถ้าปลูกฤดูฝนกลบหนา 5 เซนติเมตร ถ้าปลูกปลายฝน ให้กลบประมาณ 10-15 เซนติเมตร  แล้วรดน้ำตามให้ความชุ่มชื้นตามแนวร่องปลูกให้สม่ำเสมอทั่วแปลง

3.การปลูกจะใช้แรงงานคนวางท่อนพันธุ์ สับ และกลบ หรือใช้เครื่องปลูก ถ้าใช้เครื่องปลูกอ้อยเครื่องปลูกจะเปิดร่อง ใส่ปุ๋ย วางท่อนพันธุ์และกลบดินโดยอัตโนมัติ

4.ในบางพื้นที่ถ้ามีมากเพียงพอ เกษตรกรจะปล่อยน้ำเข้าตามร่องก่อนปลูกอ้อย เมื่อดินแห้งหมาด ๆ จึงนำท่อนพันธุ์ลงแปลงปลูก แล้วกลบดินให้แน่นพอประมาณ หนา 10-15 เซนติเมตร

การบำรุงดูแลรักษา อ้อยมีการเจริญเติบโตแบ่งเป็น 4 ระยะคือ

1.ระยะงอก : เริ่มปลูก–1เดือนครึ่ง อ้อยจะใช้อาหารจากท่อนพันธุ์และความชื้นจากดิน ปุ๋ยรองพื้นจะช่วยให้รากแข็งแรง

2.ระยะแตกกอ : อายุ1เดือนครึ่ง-3เดือน ต้องการธาตุไนโตรเจนมากเพื่อใช้ในการแตกกอและช่วยให้หน่อเจริญเติบโต

3.ระยะย่างปล้อง : อายุ 4 – 5เดือน เป็นระยะกำหนดขนาดและน้ำหนักของลำอ้อย เป็นช่วงที่อ้อยเจริญเติบโตเร็วที่สุด จึงต้องใช้ปัจจัยต่าง ๆ ในการเจริญเติบโตทั้งแสงแดด อุณหภูมิ อากาศ น้ำและปุ๋ย

4.ระยะสุกแก่ : เมื่ออ้อยอายุ 8 เดือน – เก็บเกี่ยวเป็นระยะสะสมน้ำตาล ช่วงนี้ไม่จำเป็นต้องใสปุ๋ยทางดิน  อาจฉีดพ่นอาหารเสริมทางใบและน้ำตาลทางด่วนเพิ่มเติมได้ในช่วงนี้

การใส่ปุ๋ย : การใส่ปุ๋ยเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการปลูกพืชในปัจจุบัน ควรใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด ที่ช่วยปรับสภาพทางกายภาพของดิน ร่วมกับปุ๋ยเคมี ปุ๋ยเคมีควรมีธาตุอาหารหลักครบทั้ง 3 ตัว ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม สูตรแนะนำคือ 15-15-15 และ 15-5-25 เป็นต้น

ดินร่วนปนทราย : ครั้งที่1 แนะนำปุ๋ยสูตร 15-15-15, 15-5-25 หรือ 16-16-8 รองก้นร่องพร้อมปลูก หลังแต่งตอ 1เดือน อัตรา 20-25 กิโลกรัม / ไร่  ครั้งที่2 เมื่ออายุ 2-3 เดือน อัตรา 50-60 กิโลกรัม / ไร่  **ถ้าเป็นอ้อยตอให้เพิ่มปุ๋ยสูตร 21-0-0 (แอมโมเนียมซัลเฟต) อัตรา 20 กิโลกรัม / ไร่

ดินร่วนหรือดินร่วนเหนียว : ครั้งที่1 แนะนำปุ๋ยสูตร 18-12-6 , 15-15-15  หลังปลูกหรือหลังแต่งตอ 1เดือน อัตรา 30 กิโลกรัม / ไร่  ครั้งที่2 เมื่ออายุ 2-3เดือน อัตรา 40 กิโลกรัม / ไร่  อ้อยปลูกและอ้อยตอที่ปลูกในเขตชลประทาน เมื่ออ้อยอายุ 2-3เดือน ให้เพิ่มปุ๋ยสูตร 21-0-0 (แอมโมเนียมซัลเฟต) ในอัตรา 20 กิโลกรัม / ไร่  **การให้ปุ๋ยทางดินทุกครั้งทั้งอ้อยปลูกและอ้อยตอควรให้ขณะที่ดินมีความชื้น โดยโรยข้างแถวห่างต้นประมาณ 10 เซนติเมตร แล้วฝังกลบ

การให้น้ำ : สำหรับพื้นที่ปลูกอ้อยในเขตชลประทานหรือแหล่งน้ำธรรมชาติ ควรให้น้ำทันทีหลังการปลูกโดยระบบน้ำหยดตามร่องปลูก  หรือสูบน้ำเข้าร่องโดยไม่ต้องระบายน้ำออก

ต้องระวังไม่ให้อ้อยขาดน้ำติดต่อกันเกิน 20 วัน ในขณะอ้อยกำลังเจริญเติบโต เช่นช่วงแตกกอ ระยะย่างปล้อง เป็นการสร้างขนาดลำอ้อย และสะสมน้ำตาล

งดให้น้ำก่อนเก็บเกี่ยว 2เดือน กรณีฝนตกหนักควรเร่งระบายน้ำออกจากแปลงทันที

อ้อยตอ หลังตัดแต่งตอแล้วควรให้น้ำทันที

การกำจัดวัชพืช : การกำจัดวัชพืชเป็นสิ่งจำเป็นในช่วง 4เดือนแรก ถ้าหากวัชพืชมากจะทำให้ผลผลิตอ้อยลดลง การกำจัดวัชพืชในการปลูกอ้อยคั้นน้ำ ควรใช้แรงงานคน หรือเครื่องจักรทุ่นแรง เช่น รถพรวนดิน ตัดหญ้า เป็นต้น ไม่แนะนำให้ใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช

 

โรคที่สำคัญและการป้องกันกำจัด

โรคใบขาว : สาเหตุเกิดจาก เชื้อไฟโตพลาสมา ซึ่งเป็นเชื้อที่เจริญเติบโตในต้นอ้อย หรือในแมลงพาหะเท่านั้น และแมลงพาหะที่ถ่ายทอดเชื้อไฟโตพลาสมา มี 2ชนิด คือ เพลี้ยจักจั่นลายจุดสีน้ำตาล และเพลี้ยจั๊กจั่นหลังขาว

ลักษณะอาการ : ใบอ้อยเรียวแคบ สีเขียวอ่อน แตกกอเป็นฝอย พบทุกระยะการเจริญเติบโต อาการปรากฎชัดเจนในอ้อยตอที่แตกใหม่อายุ 4-5 เดือนขึ้นไป จะสังเกตได้จากการแตกหน่อสีขาวที่โคนกอหรือตาข้าง พบโรคได้ในทุกแหล่งปลูก และสามารถแพร่ระบาดได้ผ่านทางท่อนพันธุ์ 

ช่วงเวลาระบาด : ระบาดรุนแรงในฤดูฝนในแหล่งปลูกที่เป็นดินร่วนปนทราย

การป้องกันกำจัด : 1) ไม่ใช้ท่อนพันธุ์จากแหล่งที่มีการระบาดของโรค หากมีความจำเป็นให้แช่ท่อนพันธุ์ในน้ำร้อน อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส นาน 2 ชั่วโมง

2) ขุดอ้อยที่เป็นโรค ไปเผาหรือฝังทำลายนอกแปลงปลูก เพราะเสี่ยงที่แมลงพาหะจะมาดูดกินน้ำเลี้ยงและถ่ายทอดเชื้อใบขาวไปยังกออื่น ๆ

3) ปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อตัดวงจรโรค เช่น ถั่วมะแฮะ ถั่วพร้า ถั่วเหลือง ถั่วเขียว หรือข้าวโพด เป็นต้น  

4) ในแหล่งที่มีการระบาดของโรคนี้ต่อเนื่อง ให้ทำการรื้อแปลงและทำลายตออ้อยทิ้ง

โรคเหี่ยวเน่าแดง :  สาเหตุจาก เชื้อรา 2 ชนิด Fusarium moniliforme และ Colletotrichum falcatum

ลักษณะอาการ : ยอดเหลืองแห้ง เนื้อในลำอ้อยเน่าช้ำสีแดง เมื่อผ่าในลำจะเห็นเนื้ออ้อยเน่าช้ำเป็นสีแดงเป็นจ้ำ หรือเนื้ออ้อยเน่าเป็นสีน้ำตาลปนม่วง อ้อยปลูกใหม่จะเริ่มแสดงอาการในเดือนที่ 6-7 ทำให้ผลผลิตเสียหาย และอ้อยตอ จะเริ่มแสดงอาการในเดือนที่ 2-3 หลังจากแต่งตอ เชื้อราสาเหตุติดมากับท่อนพันธุ์  แพร่ขยายไปตามดิน สปอร์เชื้อปลิวไปตามลม และไหลไปกับน้ำ พบระบาดในแหล่งปลูกภาคกลาง

ช่วงเวลาระบาด : ระบาดรุนแรงในฤดูฝน

การป้องกันกำจัด : 1) ปลูกพันธุ์ที่ต้านทานโรค

2)ไม่ใช้ท่อนพันธุ์จากแหล่งที่มีการระบาดของโรค

3)ถ้าพบมีการระบาดในแปลงอ้อยปลูก งดการให้ปุ๋ยและน้ำทันที แล้วรีบตัดอ้อยส่งโรงงาน

4)ปลูกพืชสลับ เช่น ข้าวโพด ถั่วเขียว หรือถั่วเหลืองก่อนปลูกอ้อยฤดูใหม่

5)ทำลายซากตอเก่าโดยการคราดออกและทำการเผาทำลาย  และไถตากดิน ประมาณ 3 ครั้ง ก่อนปลูกใหม่

โรคแส้ดำ : สาเหตุ เกิดจากเชื้อรา Ustilago scitaminea เชื้อโรครานี้ อาศัยอยู่ได้ในทุกส่วนของต้นอ้อย

ลักษณะอาการ : ส่วนยอดจะดูเป็นก้านแข็งยาว คล้าย ๆ แส้สีดำ ในส่วนของตออ้อย ถ้าเป็นโรคนี้รุนแรงจะแตกหน่อมาก แคระแกรน ดูคล้ายกอตะไคร้ จากนั้นจะแห้งตายทั้งกอผลผลิตจะลดลงมาก ในตอถัดไปมักจะพบโรคนี้ในทุกแหล่งปลูก เชื้อราสาเหตุติดมากับท่อนพันธุ์  แพร่ขยายไปตามดิน สปอร์เชื้อปลิวไปตามลม และไหลไปกับน้ำ ทำให้ผลผลิตในพันธุ์อ่อนแอต่อโรคจะลดลง 50-80 เปอร์เซ็นต์

ช่วงเวลาระบาด : ระบาดรุนแรงได้ในทุกฤดู

การป้องกันและกำจัด : 1) ปลูกอ้อยด้วยท่อนพันธุ์อ้อยที่สมบูรณ์ ไม่เป็นโรค

2) ไถทำลายอ้อยตอที่เป็นโรครุนแรง เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นแหล่งของเชื้อแพร่ระบาดต่อไปในอ้อยปลูก

3) หากอยู่ในพื้นที่เป็นโรครุนแรง ควรหลีกเลี่ยงการปลูกอ้อยพันธุ์อ่อนแอไม่ต้านทานโรค

4) แช่ท่อนพันธุ์อ้อยในสารป้องกันกำจัดโรคพืช

แมลงที่สำคัญและการป้องกันกำจัด

หนอนกอลายจุดใหญ่ หรือหนอนเจาะลำต้นอ้อย

ลักษณะการเข้าทำลาย : ตัวเต็มวัยเป็นผีเสื้อกลางคืน สีน้ำตาลเข้มวางไข่เป็นกลุ่มตามใบ กาบใบและลำต้น ตัวหนอนสีขาวนวล โตเต็มที่ประมาณ 2เซนติเมตร มีจุดกลม ขนาดหัวเข็มหมุดหลังลำตัว หนอนจะเจาะเข้าต้นอ้อยบริเวณส่วนยอด แล้วกัดกินเนื้ออ้อย ลงมาถึงโคนต้นพบการระบาดในทุกแหล่งปลูกอ้อย

ช่วงเวลาระบาด : ระบาดรุนแรงในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง 70-80 เปอร์เซ็นต์ ใกล้แหล่งน้ำหรือติดกับนาข้าว มักเข้าทำลายตั้งแต่ช่วงอ้อยย่างปล้อง อายุประมาณ 5เดือน ไปจนถึงระยะเก็บเกี่ยว

การป้องกันกำจัด : 1) หลังเก็บเกี่ยวใช้ใบอ้อยคลุมดินเพื่อป้องกันการทำลายของหนอน

2) ในแหล่งที่มีการระบาดประจำใช้พันธุ์ที่ต้านทาน

3) ตัดและทำลายต้นที่มีหนอนเข้าทำลายออกจากแปลง

4) ใช้สารชีวภัณฑ์ บาซิลัส ทูริงเยนซิส หรือ บีที ป้องกันกำจัดหนอน หรือปล่อยแตนเบียนไข่ 20,000 ตัวต่อไร่ เป็นวิธีธรรมชาติ

หนอนกอลายจุดเล็ก

ลักษณะการเข้าทำลาย : ตัวเต็มวัยเป็นผีเสื้อกลางคืน สีน้ำตาล ปีกคู่หน้าสีน้ำตาลเข้มมีจุดสีน้ำตาลอยู่ข้างละจุด ปีกคู่หลังสีน้ำตาลอ่อน วางไข่เป็นกลุ่มที่ใบ  ตัวหนอนมีลายสีน้ำตาลดำ สลับขาว หัวสีน้ำตาลเข้ม มีจุดขนาดเล็กบนหลังปล้องละคู่ มักทิ้งตัวลงมากัดกิน ส่วนเจริญเติบโตอ้อย  ทำให้ยอดอ้อยแห้งตาย พบการระบาดในทุกแหล่งปลูกอ้อย

ช่วงเวลาระบาด : ระบาดในช่วงอุณหภูมิสูงและอากาศแห้งแล้ง หรือช่วงตั้งแต่อ้อยเริ่มแตกกอ อายุประมาณ 1-4เดือน

การป้องกันกำจัด : 1) หลังเก็บเกี่ยวใช้ใบอ้อยคลุมดินเพื่อป้องกันการทำลายของหนอน

2) ในแหล่งที่มีการระบาดประจำใช้พันธุ์ที่ต้านทาน

3) ตัดและทำลายต้นที่มีหนอนเข้าทำลายออกจากแปลง

4) ใช้สารชีวภัณฑ์ บาซิลัส ทูริงเยนซิส หรือ บีที ป้องกันกำจัดหนอน หรือปล่อยแตนเบียนไข่ 20,000 ตัวต่อไร่ เป็นวิธีธรรมชาติ

ด้วงหนวดยาว

ลักษณะการเข้าทำลาย : เป็นแมลงศัตรูในดิน ตัวเต็มวัยสีน้ำตาลแดง เพศเมียส่วนท้องมีลักษณะมน ส่วนเพศผู้ตรงปลายเว้าพบระบาดมากในดินร่วนปนทราย วางไข่ใกล้โคนต้นอ้อย หนอนมีรูปร่างแบนทรงกระบอก สีขาวนวล กัดกินบริเวณรากและเหง้าอ้อย ทำให้ต้นเป็นโพรงแห้งตายทั้งกอ

ช่วงเวลาระบาด : ระบาดได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในดินร่วนปนทรายช่วงฝนทิ้งช่วงเป็นเวลายาวนาน

การป้องกันกำจัด : 1) ถ้าเกิดการระบาดทำลายอ้อยปลูกเกิน 24 เปอร์เซ็นต์ ควรไถทิ้งหลังเก็บเกี่ยว

2) ไถตาก ไถพรวนดินหลายๆรอบ ก่อนปลูกอ้อยในแปลง

3) ในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน เป็นระยะที่พบตัวเต็มวัยจำนวนมาก ใช้กับดักหลุมปูผ้าพลาสติกแล้วจับไปทำลาย

4) ฉีดพ่นสารชีวภัณฑ์ เมธาไรเซียม ป้องกันกำจัด

แมลงนูนหลวง

ลักษณะการเข้าทำลาย : เป็นศัตรูในดินตัวเต็มวัยปีกแข็ง วางไข่ในดินลึกประมาณ 15 เซนติเมตร หนอนมีลักษณะโค้งงอ สีขาวนวล ปากมีเขี้ยวใหญ่แข็งแรง กัดกินรากอ้อยเหง้าออ้อย แห้งตายทั้งกอ ทำให้อ้อยหักล้ม

ช่วงเวลาระบาด : ระบาดได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในดินร่วนปนทราย

การป้องกันกำจัด : 1) ใช้ไฟล่อแมลงและจับตัวเต็มวัยไปทำลาย

2) ไถตาก ไถพรวนดินหลายๆรอบเพื่อทำลายไข่และหนอนในดิน ก่อนปลูกอ้อยในแปลง

3) ฉีดพ่นสารชีวภัณฑ์ เมธาไรเซียม ป้องกันกำจัด

ปลวก

ลักษณะการเข้าทำลาย : สร้างรังอยู่ใต้ดินลำตัวสีขาว เข้าทำลายลำอ้อยในระดับต่ำกว่าผิวดิน  กัดกินอ้อยเป็นโพรงแล้วบรรจุดินอัดเข้าแทนที่ เข้าทำลายอ้อยในทุกระยะการเจริญเติบโต พบการระบาดในทุกระยะแหล่งปลูกอ้อย

ช่วงเวลาระบาด : ระบาดรุนแรงในสภาพอากาศแห้งแล้ง ฝนทิ้งช่วงเป็นเวลายาวนาน

การป้องกันกำจัด : 1) ไถดะ 1-2 ครั้ง ตากดิน 7-10 วัน ไถพรวน 2-3 ครั้ง

2) ฉีดพ่นสารชีวภัณฑ์ เมธาไรเซียม ป้องกันกำจัดปลวกใต้ดิน

การเก็บเกี่ยว : ระยะเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม เก็บเกี่ยวอ้อยที่อายุ 10-14 เดือน หลังปลูก ให้น้ำอ้อยมีค่าความหวานมากกว่า 10 ซีซีเอส หรือค่าบริกซ์ส่วนตรงกลาง และปลายลำแตกต่างกันน้อยกว่า 2

 

วิธีการเก็บเกี่ยว : ใช้มีดถากใบและกาบใบออกทั้ง 2ด้าน แล้วตัดอ้อยให้ชิดดิน  ควรตัดยอดอ้อยต่ำกว่าคอใบประมาณ 25-30 เซนติเมตร ในอ้อยที่ยังไม่ออกดอก และตัดต่ำจากใบธง ประมาณ 100-150 เซนติเมตร ในอ้อยที่ออกดอก แล้วใช้ยอดอ้อยมัดโคนและปลาย มัดละ 10ลำ แล้ววางเรียงกันในไร่

 

การบันทึกข้อมูลแปลง : เกษตรกรควรบันทึกการปฏิบัติงานในทุกช่วงเวลา เพื่อให้มีการตรวจสอบได้หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นในการผลิตพืช และสามารถแก้ไขได้ทันท่วงที ดังนี้

1) สภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ ความชื้น และปริมาณน้ำฝน

2) พันธุ์ที่ใช้ปลูก และวันที่ปลูก

3) วันที่ให้ปุ๋ย ให้น้ำและปริมาณ  ชนิดปุ๋ยและอัตราการให้

4) วันที่เริ่มมีศัตรูพืชระบาด ชนิดและปริมาณ (โรค และแมลง)

5) วันที่เก็บเกี่ยว ค่าใช้จ่าย ปริมาณ คุณภาพ ราคาผลผลิต และรายได้

6) ปัญหา อุปสรรค ตลอดฤดูกาลปลูก การเก็บเกี่ยวและการขนส่ง

ข้อมูลอ้างอิง : คู่มือการปลูกอ้อย (กรมส่งเสริมการเกษตร) , ศูนย์วิจัยพืชไร่สุพรรณบุรี  

      : เทคโนโลยีชาวบ้านออนไลน์ (ปิยพร วิสระพันธุ์) , สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย

 

คำแนะนำการใช้ผลิตภัณฑ์ไร่เทพกับอ้อย

การใช้ดินเทพ

– ช่วงเตรียมดินก่อนปลูก     :    ดินเทพ 50 ซีซีผสมน้ำ 60 ลิตร ฉีดพ่นในพื้นที่ 1 ไร่ก่อนปลูก

การใช้ไร่เทพ และโล่เขียว

– ระยะงอก ( เริ่มปลูก-1เดือนครึ่ง )       :  โล่เขียว 100 ซีซี + ไร่เทพ 1 ซอง ผสมน้ำ 100-150 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้นทุก  10-15 วัน

– ระยะแตกกอ ( 1เดือนครึ่ง-3เดือน )    : โล่เขียว 100-200 ซีซี+ไร่เทพ 1 ซอง ผสมน้ำ 100 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้นทุก  10-15 วัน

– ระยะย่างปล้อง ( 4-6เดือน )              :  โล่เขียว 200 ซีซี+ไร่เทพ 1 ซอง ผสมน้ำ 100 ลิตร  ฉีดพ่นให้ทั่วต้นทุก  10-15 วัน

– ระยะแก่และสุก ( 8เดือน-เก็บเกี่ยว )  :  โล่เขียว 200 ซีซี + ไร่เทพ 1 ซอง ผสมน้ำ 100 ลิตร  ฉีดพ่นให้ทั่วต้นทุก  10-15 วัน

 

.
😊ไร่เทพ คุณภาพขั้นเทพ
สารที่เป็นส่วนผสมสำคัญ
1. สารฮิวมิค (Humus หรือ Humic Substance )
2. ฟูลวิค แอซิด (Fulvic Acid)
3. อะมิโนจากสาหร่ายทะเล
4. อะมิโนจากเลือดปลา
5. สารพิเศษจากอิสราเอล
6. สารในกลุ่มอาหารพืชอื่นๆ
😊ไร่เทพ คุณภาพขั้นเทพ
สอบถามข้อมูล-เทคนิคการปลูกพืชชนิดต่างๆ เรามีทีมส่งเสริมการขายที่เชี่ยวชาญ พร้อมตอบคำถามเกษตรกรตลอดเวลา
🌾👀🌾🍅🍆🌽🍄🌰 🍇🍈🍉🍊🍋🍌🍍🍎🍏🍐
—————————-
Tel. : 098-280-8200
—————————-