ปลูกอ้อย คั้นน้ำ
พันธุ์อ้อยคั้นน้ำที่เรานิยมนำมาใช้ในอุตสาหกรรมน้ำอ้อยสดในประเทศไทยเรานั้นมีพันธุ์หลัก ๆ คือพันธุ์สุพรรณบุรี 50 และ พันธุ์สิงคโปร์ เมื่อปี 2562 กรมวิชาการเกษตรได้มีการเปิดตัวพันธุ์อ้อยคั้นน้ำ คือพันธุ์ศรีสำโรง 1 และล่าสุดวันที่ 12 กรกฎาคม 2565 ได้ทำการเปิดตัวอ้อยคั้นน้ำโดยใช้ชื่อพันธุ์ ว่า “กวก. สุพรรณบุรี 1 ซึ่งส่วนใหญ่แล้วหากจะพิจารณาเลือกพันธุ์มาปลูก ต้องคำนึงถึงความหวาน สีและความหอมของกลิ่น โดยความหวานที่เหมาะสม คือ 13-17 องศาบริกซ์
พันธุ์อ้อย กวก.สุพรรณบุรี 1 ศูนย์วิจัยพืชไร่สุพรรณบุรีสถาบันวิจัยพืชไร่และพืชทดแทนพลังงาน เป็นหน่วยงานของกรมวิชาการเกษตรที่ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาทั้งด้านพันธุ์ และเทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสมของอ้อย ได้ทำการวิจัยและพัฒนาในระหว่างปี 2547-2564 รวมระยะเวลา 17 ปี ตั้งแต่กระบวนการผสมพันธุ์ คัดเลือกพันธุ์ และประเมินผลผลิตขั้นต่าง ๆ เพื่อศึกษาข้อมูลด้านผลผลิต และคุณภาพน้ำอ้อยในแปลงทดลองหน่วยงานเครือข่ายของกรมวิชาการเกษตร และในไร่เกษตรกรที่เป็นพื้นที่ปลูกอ้อยคั้นน้ำที่สำคัญของประเทศไทย จนถึงการประเมินความพึงพอใจและการยอมรับจากเกษตรกรผู้ผลิต จำหน่าย และบริโภค จนประสบผลสำเร็จ ได้อ้อยคั้นน้ำพันธุ์ใหม่ผ่านการรับรองพันธุ์พืชจากคณะกรรมการวิจัยปรับปรุงพันธุ์พืช กรมวิชาการเกษตร เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2565 ใช้ชื่อพันธุ์ว่า “กวก.สุพรรณบุรี 1” มีลักษณะเด่นคือ ให้ผลผลิตน้ำอ้อยเฉลี่ย 3622 ลิตรต่อไร่ สูงกว่าพันธุ์สุพรรณบุรี 50 ร้อยละ 26 ให้ผลผลิตอ้อยเฉลี่ย 11.43 ตันต่อไร่ สูงกว่าพันธุ์สุพรรณบุรี 50 ร้อยละ 21 สีน้ำอ้อยมีสีเหลืองอมเขียว กลิ่นหอม รสชาติหวาน มีความหวาน 21.54 องศาบริกซ์
อ้อยพันธุ์สิงคโปร์ หรือที่เรียกกันว่าอ้อยสำลี เป็นพันธุ์ที่เกษตรกรไทยเราใช้ปลูกกันมายาวนานมากว่า 30-40 ปี ให้ผลผลิตอ้อยที่มีผิวเนื้ออ่อน ชานอ้อยนิ่มเมื่อหีบออกมาแล้วจะได้น้ำอ้อยสดสีเหลืองปนเขียว กลิ่นหอม และมีความหวาน 13-15 องศาบริกซ์ ต้นอ้อยที่ได้จะมีลำสีเหลืองแก่ ปล้องสั้นระหว่างปล้องจะมีลำนูนป่อง คล้ายข้าวต้มมัด มีใบสีเขียว แตกกอประมาณกอละ 3-4 ลำ ไม่สามารถไว้ตอได้ ไม่ต้านทานโรคลำต้นเน่าแดง สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในช่วงระยะเวลา 8 เดือน สามารถปลูกได้ดีในบริเวณที่ลุ่ม
พันธุ์สุพรรณบุรี50 เป็นพันธุ์ที่กรมวิชาการเกษตรได้พัฒนาขึ้น เพื่อแก้จุดด้อยที่มีในพันธุ์สิงคโปร์ โดยพันธุ์สุพรรณบุรี 50 เป็นอ้อยคั้นน้ำที่ให้ความหวาน สี และกลิ่นได้ดีกว่าพันธุ์สิงคโปร์ และยังสามารถไว้ตอได้ถึง 4 ครั้ง แตกกอได้มากถึงกอละ 5-6 ลำและยังมีการปรับตัวสภาพแวดล้อมได้ดีปลูกได้ทั้งที่ลุ่มและที่ดอน และยังต้านทานต่อโรคลำต้นเน่าแดง โดยมีอายุการเก็บเกี่ยวเท่ากันกับพันธุ์สิงคโปร์คือ 8 เดือน แต่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงกว่า โดยให้ผลผลิตถึงไร่ละ 4,600-5,200 ลิตร เทียบกับพันธุ์สิงคโปร์ที่ให้ผลผลิตไร่ละ 2,100-2,800 ลิตร และยังให้ความหวานได้ถึง 15-17 องศาบริกซ์ ทำให้เพื่อนเกษตรกรหลายพื้นที่หันมาปลูกอ้อยคั้นน้ำพันธุ์นี้มากยิ่งขึ้น เพราะได้ผลผลิตสูงและยังสามารถลดต้นทุนได้ เพราะสามารถไว้กอได้ ส่วนพันธุ์ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ล่าสุดคือพันธุ์ศรีสำโรง 1 นั้น เป็นพันธุ์ที่พัฒนาขึ้นมาให้เหมาะสมกับสภาพการปลูก ในเขตภาคเหนือตอนล่าง โดยมีผลผลิตมากกว่าพันธุ์สุพรรณบุรี 50 โดยให้ผลผลิตถึงไร่ละ 5,647 ลิตรและมีความหวานถึง 17.1 องศาบริกซ์ ส่วนของสีและความหอมนั้นเป็นที่ยอมรับของเกษตรกรและตลาด อ้อยสุพรรณบุรี 50 เป็นพันธุ์อ้อยคั้นน้ำ ที่ได้จากการผสมสายพันธุ์ของอ้อยพันธุ์ SP074 ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่สุพรรณบุรี 2533 เสร็จสิ้นการทดลอง ในปี 2539 ลักษณะประจำพันธุ์ มีใบขนาดใหญ่ ปลายใบโค้ง ลำต้นมีสีเขียวอมเหลือง ปล้องมีรูปร่างทรงกระบอก ค่อนข้างยาว ไม่มีร่องเหนือตา ตามีรูปร่างกลม มีวงเจริญสีเหลืองและนูน ข้อโปน แตกกอดี เจริญเติบโตเร็ว
การปลูกอ้อย : อ้อยเป็นพืชจัดอยู่ตระกูลหญ้า มีแหล่งกำเนิดที่เกาะนิวกินี ในมหาสมุทรแปซิฟิค ลักษณะภายนอกประกอบด้วยลำต้นที่มีข้อปล้องชัดเจนมีใบเกิดสลับข้างกัน มีส่วนกาบใบหุ้มต้นไว้ โดยกาบใบจะมีไขและขนอยู่ด้วย รากอ้อยเป็นระบบรากฝอยแต่แข็งแรง สามารถหยั่งลงไปในดินได้ลึก ลำต้นอ้อยสามารถแตกหน่อได้จากตาของข้อด้านล่างๆที่อยู่ชิดดิน
อ้อยจัดเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อนและกึ่งร้อน มีปริมาณน้ำฝนและแสงแดดจัด และเจริญเติบโตได้ดีในอุณหภูมิที่สูงกว่า 20 องศาเซลเซียส โดยมีการกระจายของน้ำฝนสม่ำเสมอ ต้องมีปริมาณน้ำฝน 1500 มิลลิเมตรต่อปี อ้อยขึ้นได้ดีในดินเกือบทุกชนิด ที่มีอากาศและน้ำถ่ายเทได้สะดวก เพราะต้นอ้อยในช่วงเล็กไม่ทนต่อสภาพน้ำท่วมขังได้ ดินที่ปลูกจะต้องมีสภาพความเป็นกรด – ด่างที่เหมาะสม มีอินทรียวัตถุและมีธาตุอาหารที่สมบูรณ์
การเลือกพื้นที่ปลูกอ้อย : ควรเป็นพื้นที่ดอน น้ำไม่ท่วมขังหรือพื้นที่ราบ มีหน้าดินลึกอย่างน้อย 20นิ้ว ดินมีความอุดมสมบูรณ์ดี เป็นพื้นที่ในเขตชลประทานการคมนาคมขนส่งสะดวก
การเตรียมดิน : การเตรียมดินเป็นสิ่งสำคัญในการปลูกอ้อย เพราะอ้อยมีระบบรากยาวประมาณ 4 เมตร เมื่อปลูกแล้วสามารถรักษาไว้ได้หลายปี เป็นการแตกหน่อใหม่เป็นอ้อยตอ การเตรียมดินที่ดีปฏิบัติดังนี้
1.การไถ ควรไถอย่างน้อย 2 ครั้งและไถขณะที่ดินมีความชื้น พอเหมาะควรไถลึกไม่ต่ำกว่า 20 นิ้ว จะช่วยให้รากหยั่งลึก แข็งแรงและเจริญเติบโตได้ดี ถ้าชั้นล่างเป็นดินดานควรไถระเบิดดินดานก่อนปลูก
2.การปรับพื้นที่ การปรับระดับพื้นที่จะช่วยในการระบายน้ำท่วมขัง คือการไถหน้าดินมากองรวมกัน แล้วปรับระดับดินให้ได้ระดับเดียวกัน และเกลี่ยปรับหน้าดินให้เสมอทั่วทั้งแปลง อาจมีการเติมอินทรียวัตถุต่าง ๆในพื้นที่ ๆ ดินไม่ดี ประมาณ 1-2 ตัน/ไร่ เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ของดิน
3.การเลือกพันธุ์อ้อย การเลือกพันธุ์อ้อยควรมีการพิจารณารายละเอียดดังนี้
มีการเลือกพันธุ์อายุเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม เช่น พันธุ์กลาง พันธุ์หนัก พันธุ์เบา ให้ผลผลิตต่อไร่มาก และค่าความหวานสูง กลิ่นหอม รสชาติดี มีความต้านทานต่อโรคและแมลง มีความเหมาะสมกับพื้นที่ปลูก และสามารถไว้ตอได้ 2-3 ปี
ฤดูการปลูกอ้อยและวิธีการดูแลบำรุงรักษา
ฤดูกาลปลูกแบ่งเป็น 2 ฤดูคือ 1) ต้นฤดูฝน เขตชลประทานระหว่างเดือนกุมภาพันธุ์ – เดือนเมษายน
2) ปลายฤดูฝนเน้นการปลูกอ้อยข้ามแล้ง เดือนตุลาคม – เดือนธันวาคม ในพื้นที่ ๆ เป็นดินร่วนปนทราย
วิธีการปลูกอ้อย : 1.ยกร่องปลูกให้มีระยะระหว่างร่อง 1.0-1.5 เมตร ถ้าปลูกปลายฤดูฝน ยกร่องแล้วควรปลูกทันที เพื่อรักษาความชื้นในดิน
2.รองพื้นร่องปลูกด้วยอินทรีย์วัตถุ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ที่ผ่านการหมักไว้จนได้ที่ แล้วลอกกาบใบอ้อย ใช้มีดสับท่อนละ 2-3ตา แล้วนำไปวางเรียงปลูกเป็นระยะในร่องปลูกที่เตรียมไว้ ถ้าปลูกฤดูฝนกลบหนา 5 เซนติเมตร ถ้าปลูกปลายฝน ให้กลบประมาณ 10-15 เซนติเมตร แล้วรดน้ำตามให้ความชุ่มชื้นตามแนวร่องปลูกให้สม่ำเสมอทั่วแปลง
3.การปลูกจะใช้แรงงานคนวางท่อนพันธุ์ สับ และกลบ หรือใช้เครื่องปลูก ถ้าใช้เครื่องปลูกอ้อยเครื่องปลูกจะเปิดร่อง ใส่ปุ๋ย วางท่อนพันธุ์และกลบดินโดยอัตโนมัติ
4.ในบางพื้นที่ถ้ามีมากเพียงพอ เกษตรกรจะปล่อยน้ำเข้าตามร่องก่อนปลูกอ้อย เมื่อดินแห้งหมาด ๆ จึงนำท่อนพันธุ์ลงแปลงปลูก แล้วกลบดินให้แน่นพอประมาณ หนา 10-15 เซนติเมตร
การบำรุงดูแลรักษา อ้อยมีการเจริญเติบโตแบ่งเป็น 4 ระยะคือ
1.ระยะงอก : เริ่มปลูก–1เดือนครึ่ง อ้อยจะใช้อาหารจากท่อนพันธุ์และความชื้นจากดิน ปุ๋ยรองพื้นจะช่วยให้รากแข็งแรง
2.ระยะแตกกอ : อายุ1เดือนครึ่ง-3เดือน ต้องการธาตุไนโตรเจนมากเพื่อใช้ในการแตกกอและช่วยให้หน่อเจริญเติบโต
3.ระยะย่างปล้อง : อายุ 4 – 5เดือน เป็นระยะกำหนดขนาดและน้ำหนักของลำอ้อย เป็นช่วงที่อ้อยเจริญเติบโตเร็วที่สุด จึงต้องใช้ปัจจัยต่าง ๆ ในการเจริญเติบโตทั้งแสงแดด อุณหภูมิ อากาศ น้ำและปุ๋ย
4.ระยะสุกแก่ : เมื่ออ้อยอายุ 8 เดือน – เก็บเกี่ยวเป็นระยะสะสมน้ำตาล ช่วงนี้ไม่จำเป็นต้องใสปุ๋ยทางดิน อาจฉีดพ่นอาหารเสริมทางใบและน้ำตาลทางด่วนเพิ่มเติมได้ในช่วงนี้
การใส่ปุ๋ย : การใส่ปุ๋ยเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการปลูกพืชในปัจจุบัน ควรใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด ที่ช่วยปรับสภาพทางกายภาพของดิน ร่วมกับปุ๋ยเคมี ปุ๋ยเคมีควรมีธาตุอาหารหลักครบทั้ง 3 ตัว ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม สูตรแนะนำคือ 15-15-15 และ 15-5-25 เป็นต้น
ดินร่วนปนทราย : ครั้งที่1 แนะนำปุ๋ยสูตร 15-15-15, 15-5-25 หรือ 16-16-8 รองก้นร่องพร้อมปลูก หลังแต่งตอ 1เดือน อัตรา 20-25 กิโลกรัม / ไร่ ครั้งที่2 เมื่ออายุ 2-3 เดือน อัตรา 50-60 กิโลกรัม / ไร่ **ถ้าเป็นอ้อยตอให้เพิ่มปุ๋ยสูตร 21-0-0 (แอมโมเนียมซัลเฟต) อัตรา 20 กิโลกรัม / ไร่
ดินร่วนหรือดินร่วนเหนียว : ครั้งที่1 แนะนำปุ๋ยสูตร 18-12-6 , 15-15-15 หลังปลูกหรือหลังแต่งตอ 1เดือน อัตรา 30 กิโลกรัม / ไร่ ครั้งที่2 เมื่ออายุ 2-3เดือน อัตรา 40 กิโลกรัม / ไร่ อ้อยปลูกและอ้อยตอที่ปลูกในเขตชลประทาน เมื่ออ้อยอายุ 2-3เดือน ให้เพิ่มปุ๋ยสูตร 21-0-0 (แอมโมเนียมซัลเฟต) ในอัตรา 20 กิโลกรัม / ไร่ **การให้ปุ๋ยทางดินทุกครั้งทั้งอ้อยปลูกและอ้อยตอควรให้ขณะที่ดินมีความชื้น โดยโรยข้างแถวห่างต้นประมาณ 10 เซนติเมตร แล้วฝังกลบ
การให้น้ำ : สำหรับพื้นที่ปลูกอ้อยในเขตชลประทานหรือแหล่งน้ำธรรมชาติ ควรให้น้ำทันทีหลังการปลูกโดยระบบน้ำหยดตามร่องปลูก หรือสูบน้ำเข้าร่องโดยไม่ต้องระบายน้ำออก
ต้องระวังไม่ให้อ้อยขาดน้ำติดต่อกันเกิน 20 วัน ในขณะอ้อยกำลังเจริญเติบโต เช่นช่วงแตกกอ ระยะย่างปล้อง เป็นการสร้างขนาดลำอ้อย และสะสมน้ำตาล
งดให้น้ำก่อนเก็บเกี่ยว 2เดือน กรณีฝนตกหนักควรเร่งระบายน้ำออกจากแปลงทันที
อ้อยตอ หลังตัดแต่งตอแล้วควรให้น้ำทันที
การกำจัดวัชพืช : การกำจัดวัชพืชเป็นสิ่งจำเป็นในช่วง 4เดือนแรก ถ้าหากวัชพืชมากจะทำให้ผลผลิตอ้อยลดลง การกำจัดวัชพืชในการปลูกอ้อยคั้นน้ำ ควรใช้แรงงานคน หรือเครื่องจักรทุ่นแรง เช่น รถพรวนดิน ตัดหญ้า เป็นต้น ไม่แนะนำให้ใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช
โรคที่สำคัญและการป้องกันกำจัด
โรคใบขาว : สาเหตุเกิดจาก เชื้อไฟโตพลาสมา ซึ่งเป็นเชื้อที่เจริญเติบโตในต้นอ้อย หรือในแมลงพาหะเท่านั้น และแมลงพาหะที่ถ่ายทอดเชื้อไฟโตพลาสมา มี 2ชนิด คือ เพลี้ยจักจั่นลายจุดสีน้ำตาล และเพลี้ยจั๊กจั่นหลังขาว
ลักษณะอาการ : ใบอ้อยเรียวแคบ สีเขียวอ่อน แตกกอเป็นฝอย พบทุกระยะการเจริญเติบโต อาการปรากฎชัดเจนในอ้อยตอที่แตกใหม่อายุ 4-5 เดือนขึ้นไป จะสังเกตได้จากการแตกหน่อสีขาวที่โคนกอหรือตาข้าง พบโรคได้ในทุกแหล่งปลูก และสามารถแพร่ระบาดได้ผ่านทางท่อนพันธุ์
ช่วงเวลาระบาด : ระบาดรุนแรงในฤดูฝนในแหล่งปลูกที่เป็นดินร่วนปนทราย
การป้องกันกำจัด : 1) ไม่ใช้ท่อนพันธุ์จากแหล่งที่มีการระบาดของโรค หากมีความจำเป็นให้แช่ท่อนพันธุ์ในน้ำร้อน อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส นาน 2 ชั่วโมง
2) ขุดอ้อยที่เป็นโรค ไปเผาหรือฝังทำลายนอกแปลงปลูก เพราะเสี่ยงที่แมลงพาหะจะมาดูดกินน้ำเลี้ยงและถ่ายทอดเชื้อใบขาวไปยังกออื่น ๆ
3) ปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อตัดวงจรโรค เช่น ถั่วมะแฮะ ถั่วพร้า ถั่วเหลือง ถั่วเขียว หรือข้าวโพด เป็นต้น
4) ในแหล่งที่มีการระบาดของโรคนี้ต่อเนื่อง ให้ทำการรื้อแปลงและทำลายตออ้อยทิ้ง
โรคเหี่ยวเน่าแดง : สาเหตุจาก เชื้อรา 2 ชนิด Fusarium moniliforme และ Colletotrichum falcatum
ลักษณะอาการ : ยอดเหลืองแห้ง เนื้อในลำอ้อยเน่าช้ำสีแดง เมื่อผ่าในลำจะเห็นเนื้ออ้อยเน่าช้ำเป็นสีแดงเป็นจ้ำ หรือเนื้ออ้อยเน่าเป็นสีน้ำตาลปนม่วง อ้อยปลูกใหม่จะเริ่มแสดงอาการในเดือนที่ 6-7 ทำให้ผลผลิตเสียหาย และอ้อยตอ จะเริ่มแสดงอาการในเดือนที่ 2-3 หลังจากแต่งตอ เชื้อราสาเหตุติดมากับท่อนพันธุ์ แพร่ขยายไปตามดิน สปอร์เชื้อปลิวไปตามลม และไหลไปกับน้ำ พบระบาดในแหล่งปลูกภาคกลาง
ช่วงเวลาระบาด : ระบาดรุนแรงในฤดูฝน
การป้องกันกำจัด : 1) ปลูกพันธุ์ที่ต้านทานโรค
2)ไม่ใช้ท่อนพันธุ์จากแหล่งที่มีการระบาดของโรค
3)ถ้าพบมีการระบาดในแปลงอ้อยปลูก งดการให้ปุ๋ยและน้ำทันที แล้วรีบตัดอ้อยส่งโรงงาน
4)ปลูกพืชสลับ เช่น ข้าวโพด ถั่วเขียว หรือถั่วเหลืองก่อนปลูกอ้อยฤดูใหม่
5)ทำลายซากตอเก่าโดยการคราดออกและทำการเผาทำลาย และไถตากดิน ประมาณ 3 ครั้ง ก่อนปลูกใหม่
โรคแส้ดำ : สาเหตุ เกิดจากเชื้อรา Ustilago scitaminea เชื้อโรครานี้ อาศัยอยู่ได้ในทุกส่วนของต้นอ้อย
ลักษณะอาการ : ส่วนยอดจะดูเป็นก้านแข็งยาว คล้าย ๆ แส้สีดำ ในส่วนของตออ้อย ถ้าเป็นโรคนี้รุนแรงจะแตกหน่อมาก แคระแกรน ดูคล้ายกอตะไคร้ จากนั้นจะแห้งตายทั้งกอผลผลิตจะลดลงมาก ในตอถัดไปมักจะพบโรคนี้ในทุกแหล่งปลูก เชื้อราสาเหตุติดมากับท่อนพันธุ์ แพร่ขยายไปตามดิน สปอร์เชื้อปลิวไปตามลม และไหลไปกับน้ำ ทำให้ผลผลิตในพันธุ์อ่อนแอต่อโรคจะลดลง 50-80 เปอร์เซ็นต์
ช่วงเวลาระบาด : ระบาดรุนแรงได้ในทุกฤดู
การป้องกันและกำจัด : 1) ปลูกอ้อยด้วยท่อนพันธุ์อ้อยที่สมบูรณ์ ไม่เป็นโรค
2) ไถทำลายอ้อยตอที่เป็นโรครุนแรง เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นแหล่งของเชื้อแพร่ระบาดต่อไปในอ้อยปลูก
3) หากอยู่ในพื้นที่เป็นโรครุนแรง ควรหลีกเลี่ยงการปลูกอ้อยพันธุ์อ่อนแอไม่ต้านทานโรค
4) แช่ท่อนพันธุ์อ้อยในสารป้องกันกำจัดโรคพืช
แมลงที่สำคัญและการป้องกันกำจัด
หนอนกอลายจุดใหญ่ หรือหนอนเจาะลำต้นอ้อย
ลักษณะการเข้าทำลาย : ตัวเต็มวัยเป็นผีเสื้อกลางคืน สีน้ำตาลเข้มวางไข่เป็นกลุ่มตามใบ กาบใบและลำต้น ตัวหนอนสีขาวนวล โตเต็มที่ประมาณ 2เซนติเมตร มีจุดกลม ขนาดหัวเข็มหมุดหลังลำตัว หนอนจะเจาะเข้าต้นอ้อยบริเวณส่วนยอด แล้วกัดกินเนื้ออ้อย ลงมาถึงโคนต้นพบการระบาดในทุกแหล่งปลูกอ้อย
ช่วงเวลาระบาด : ระบาดรุนแรงในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง 70-80 เปอร์เซ็นต์ ใกล้แหล่งน้ำหรือติดกับนาข้าว มักเข้าทำลายตั้งแต่ช่วงอ้อยย่างปล้อง อายุประมาณ 5เดือน ไปจนถึงระยะเก็บเกี่ยว
การป้องกันกำจัด : 1) หลังเก็บเกี่ยวใช้ใบอ้อยคลุมดินเพื่อป้องกันการทำลายของหนอน
2) ในแหล่งที่มีการระบาดประจำใช้พันธุ์ที่ต้านทาน
3) ตัดและทำลายต้นที่มีหนอนเข้าทำลายออกจากแปลง
4) ใช้สารชีวภัณฑ์ บาซิลัส ทูริงเยนซิส หรือ บีที ป้องกันกำจัดหนอน หรือปล่อยแตนเบียนไข่ 20,000 ตัวต่อไร่ เป็นวิธีธรรมชาติ
หนอนกอลายจุดเล็ก
ลักษณะการเข้าทำลาย : ตัวเต็มวัยเป็นผีเสื้อกลางคืน สีน้ำตาล ปีกคู่หน้าสีน้ำตาลเข้มมีจุดสีน้ำตาลอยู่ข้างละจุด ปีกคู่หลังสีน้ำตาลอ่อน วางไข่เป็นกลุ่มที่ใบ ตัวหนอนมีลายสีน้ำตาลดำ สลับขาว หัวสีน้ำตาลเข้ม มีจุดขนาดเล็กบนหลังปล้องละคู่ มักทิ้งตัวลงมากัดกิน ส่วนเจริญเติบโตอ้อย ทำให้ยอดอ้อยแห้งตาย พบการระบาดในทุกแหล่งปลูกอ้อย
ช่วงเวลาระบาด : ระบาดในช่วงอุณหภูมิสูงและอากาศแห้งแล้ง หรือช่วงตั้งแต่อ้อยเริ่มแตกกอ อายุประมาณ 1-4เดือน
การป้องกันกำจัด : 1) หลังเก็บเกี่ยวใช้ใบอ้อยคลุมดินเพื่อป้องกันการทำลายของหนอน
2) ในแหล่งที่มีการระบาดประจำใช้พันธุ์ที่ต้านทาน
3) ตัดและทำลายต้นที่มีหนอนเข้าทำลายออกจากแปลง
4) ใช้สารชีวภัณฑ์ บาซิลัส ทูริงเยนซิส หรือ บีที ป้องกันกำจัดหนอน หรือปล่อยแตนเบียนไข่ 20,000 ตัวต่อไร่ เป็นวิธีธรรมชาติ
ด้วงหนวดยาว
ลักษณะการเข้าทำลาย : เป็นแมลงศัตรูในดิน ตัวเต็มวัยสีน้ำตาลแดง เพศเมียส่วนท้องมีลักษณะมน ส่วนเพศผู้ตรงปลายเว้าพบระบาดมากในดินร่วนปนทราย วางไข่ใกล้โคนต้นอ้อย หนอนมีรูปร่างแบนทรงกระบอก สีขาวนวล กัดกินบริเวณรากและเหง้าอ้อย ทำให้ต้นเป็นโพรงแห้งตายทั้งกอ
ช่วงเวลาระบาด : ระบาดได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในดินร่วนปนทรายช่วงฝนทิ้งช่วงเป็นเวลายาวนาน
การป้องกันกำจัด : 1) ถ้าเกิดการระบาดทำลายอ้อยปลูกเกิน 24 เปอร์เซ็นต์ ควรไถทิ้งหลังเก็บเกี่ยว
2) ไถตาก ไถพรวนดินหลายๆรอบ ก่อนปลูกอ้อยในแปลง
3) ในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน เป็นระยะที่พบตัวเต็มวัยจำนวนมาก ใช้กับดักหลุมปูผ้าพลาสติกแล้วจับไปทำลาย
4) ฉีดพ่นสารชีวภัณฑ์ เมธาไรเซียม ป้องกันกำจัด
แมลงนูนหลวง
ลักษณะการเข้าทำลาย : เป็นศัตรูในดินตัวเต็มวัยปีกแข็ง วางไข่ในดินลึกประมาณ 15 เซนติเมตร หนอนมีลักษณะโค้งงอ สีขาวนวล ปากมีเขี้ยวใหญ่แข็งแรง กัดกินรากอ้อยเหง้าออ้อย แห้งตายทั้งกอ ทำให้อ้อยหักล้ม
ช่วงเวลาระบาด : ระบาดได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในดินร่วนปนทราย
การป้องกันกำจัด : 1) ใช้ไฟล่อแมลงและจับตัวเต็มวัยไปทำลาย
2) ไถตาก ไถพรวนดินหลายๆรอบเพื่อทำลายไข่และหนอนในดิน ก่อนปลูกอ้อยในแปลง
3) ฉีดพ่นสารชีวภัณฑ์ เมธาไรเซียม ป้องกันกำจัด
ปลวก
ลักษณะการเข้าทำลาย : สร้างรังอยู่ใต้ดินลำตัวสีขาว เข้าทำลายลำอ้อยในระดับต่ำกว่าผิวดิน กัดกินอ้อยเป็นโพรงแล้วบรรจุดินอัดเข้าแทนที่ เข้าทำลายอ้อยในทุกระยะการเจริญเติบโต พบการระบาดในทุกระยะแหล่งปลูกอ้อย
ช่วงเวลาระบาด : ระบาดรุนแรงในสภาพอากาศแห้งแล้ง ฝนทิ้งช่วงเป็นเวลายาวนาน
การป้องกันกำจัด : 1) ไถดะ 1-2 ครั้ง ตากดิน 7-10 วัน ไถพรวน 2-3 ครั้ง
2) ฉีดพ่นสารชีวภัณฑ์ เมธาไรเซียม ป้องกันกำจัดปลวกใต้ดิน
การเก็บเกี่ยว : ระยะเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม เก็บเกี่ยวอ้อยที่อายุ 10-14 เดือน หลังปลูก ให้น้ำอ้อยมีค่าความหวานมากกว่า 10 ซีซีเอส หรือค่าบริกซ์ส่วนตรงกลาง และปลายลำแตกต่างกันน้อยกว่า 2
วิธีการเก็บเกี่ยว : ใช้มีดถากใบและกาบใบออกทั้ง 2ด้าน แล้วตัดอ้อยให้ชิดดิน ควรตัดยอดอ้อยต่ำกว่าคอใบประมาณ 25-30 เซนติเมตร ในอ้อยที่ยังไม่ออกดอก และตัดต่ำจากใบธง ประมาณ 100-150 เซนติเมตร ในอ้อยที่ออกดอก แล้วใช้ยอดอ้อยมัดโคนและปลาย มัดละ 10ลำ แล้ววางเรียงกันในไร่
การบันทึกข้อมูลแปลง : เกษตรกรควรบันทึกการปฏิบัติงานในทุกช่วงเวลา เพื่อให้มีการตรวจสอบได้หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นในการผลิตพืช และสามารถแก้ไขได้ทันท่วงที ดังนี้
1) สภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ ความชื้น และปริมาณน้ำฝน
2) พันธุ์ที่ใช้ปลูก และวันที่ปลูก
3) วันที่ให้ปุ๋ย ให้น้ำและปริมาณ ชนิดปุ๋ยและอัตราการให้
4) วันที่เริ่มมีศัตรูพืชระบาด ชนิดและปริมาณ (โรค และแมลง)
5) วันที่เก็บเกี่ยว ค่าใช้จ่าย ปริมาณ คุณภาพ ราคาผลผลิต และรายได้
6) ปัญหา อุปสรรค ตลอดฤดูกาลปลูก การเก็บเกี่ยวและการขนส่ง
ข้อมูลอ้างอิง : คู่มือการปลูกอ้อย (กรมส่งเสริมการเกษตร) , ศูนย์วิจัยพืชไร่สุพรรณบุรี
: เทคโนโลยีชาวบ้านออนไลน์ (ปิยพร วิสระพันธุ์) , สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย
คำแนะนำการใช้ผลิตภัณฑ์ไร่เทพกับอ้อย
การใช้ดินเทพ
– ช่วงเตรียมดินก่อนปลูก : ดินเทพ 50 ซีซีผสมน้ำ 60 ลิตร ฉีดพ่นในพื้นที่ 1 ไร่ก่อนปลูก
การใช้ไร่เทพ และโล่เขียว
– ระยะงอก ( เริ่มปลูก-1เดือนครึ่ง ) : โล่เขียว 100 ซีซี + ไร่เทพ 1 ซอง ผสมน้ำ 100-150 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้นทุก 10-15 วัน
– ระยะแตกกอ ( 1เดือนครึ่ง-3เดือน ) : โล่เขียว 100-200 ซีซี+ไร่เทพ 1 ซอง ผสมน้ำ 100 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้นทุก 10-15 วัน
– ระยะย่างปล้อง ( 4-6เดือน ) : โล่เขียว 200 ซีซี+ไร่เทพ 1 ซอง ผสมน้ำ 100 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้นทุก 10-15 วัน
– ระยะแก่และสุก ( 8เดือน-เก็บเกี่ยว ) : โล่เขียว 200 ซีซี + ไร่เทพ 1 ซอง ผสมน้ำ 100 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้นทุก 10-15 วัน
.
ไร่เทพ คุณภาพขั้นเทพ
สารที่เป็นส่วนผสมสำคัญ
1. สารฮิวมิค (Humus หรือ Humic Substance )
2. ฟูลวิค แอซิด (Fulvic Acid)
3. อะมิโนจากสาหร่ายทะเล
4. อะมิโนจากเลือดปลา
5. สารพิเศษจากอิสราเอล
6. สารในกลุ่มอาหารพืชอื่นๆ
ไร่เทพ คุณภาพขั้นเทพ
สอบถามข้อมูล-เทคนิคการปลูกพืชชนิดต่างๆ เรามีทีมส่งเสริมการขายที่เชี่ยวชาญ พร้อมตอบคำถามเกษตรกรตลอดเวลา
—————————-
Tel. : 098-280-8200
—————————-